++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

New Year's Day


New Year's Day is the first day of the new year. On the modern Gregorian calendar, it is celebrated on January 1, as it was also in ancient Rome (though other dates were also used in Rome). In all countries using the Gregorian calendar as their main calendar, except for Israel, it is a public holiday,[citation needed] often celebrated with fireworks at the stroke of midnight as the new year starts. January 1 on the Julian calendar corresponds to January 14 on the Gregorian calendar, and it is on that date that followers of some of the Eastern Orthodox churches celebrate the New Year.

History

Probably observed on March 1 in the old Roman Calendar, New Year's Day was fixed on January 1 by the period of the Late Republic. Some have suggested this occurred in 153 BC, when it was stipulated that the two annual consuls (after whose names the years were identified) entered into office on that day, though no consensus exists on the matter.[2] Dates in March, coinciding with the spring equinox, or commemorating the Annunciation of Jesus, along with a variety of Christian feast dates were used throughout the Middle Ages, though calendars often continued to display the months in columns running from January to December
Among the 7th-century pagans of Flanders and the Netherlands, it was the custom to exchange gifts at the New Year, a pagan custom deplored by Saint Eligius (died 659 or 660), who warned the Flemings and Dutchmen, "[Do not] make vetulas, [little figures of the Old Woman], little deer or iotticos or set tables [for the house-elf, compare Puck] at night or exchange New Year gifts or supply superfluous drinks [another Yule custom]." The quote is from the vita of Eligius written by his companion, Ouen.
Most countries in Western Europe officially adopted January 1 as New Year's Day somewhat before they adopted the Gregorian calendar. The Feast of the Annunciation, March 25 (9 months before December 25), was the first day of the new year in England until the adoption of the Gregorian Calendar in 1752. The March 25 date was called Annunciation Style; the January 1 date was called Circumcision Style, because this was the date of the Feast of the Circumcision, being the eighth day counting from December 25.[citation needed]
Acording to some traditional Christian beliefs January 1st, New Years Day is the eight day of Christmas of the twelve days of Christmas. Christmas and New Year's Day are linked theologically because the western calendar used in most of the world (A.D. or C.E.) is based on the birth of Christ and the day of the celebration of Christ's birth Christmas Day is on December 25 or just seven days before New Year's Day. It is also only about ten days after the Winter Solstice or shortest day of the year in the northern hemisphere and the Summer Solstice or longest day in the year in the southern hemisphere, thus solar cycles are also linked to New Year's

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือน อย่าไว้ใจน้ำร้อนลวกช้อน


เวลาไปกินข้าวตามฟู้ดเซ็นเตอร์ตามที่ต่าง ๆ เราจะหยิบช้อนพร้อมกับมีหม้อน้ำร้อนวางอยู่ข้าง ๆ ให้เราได้ลวกช้อนอย่าได้คิดว่าช้อนที่แช่ลงไปในน้ำร้อนนั้นจะสะอาดปลอดเชื้อเพราะถ้าหม้อน้ำร้อนนั้นไม่มีการเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ ราว ทุกชั่วโมงหม้อน้ำใบนั้นจะเป้นแหล่งรวมเชื้อโรค เหมือนกับเราจุ่มลงไปในน้ำล้างช้อนและถ้าน้ำไม่เดือด เชื้อโรคก็ไม่ได้ตายไปหรอกนะจ๊ะวิธีที่ควรปฏิบัติ หนึ่ง ดูว่าน้ำในหม้อต้มร้อนจนเดือดหรือไม่สอง ควรแช่ช้อนเป็นระยะเวลาพอสมควร ไม่ใช่จุ่มเสร็จแล้วเอาขึ้นมาเลยแบบนั้นมันได้แค่สบายใจว่าช้อนสะอาดเคยเห็นบางแห่งประกาศไว้เลยว่า เขาจะเปลี่ยนน้ำทุกกี่ชั่วโมง ก็พอไว้ใจได้ถ้าไม่ผ่านมาตรฐานนี้ ไม่แช่น้ำร้อน จะปลอดภัยกว่าแต่คงไม่ต้องระวังขนาด พกช้อนส้อม ออกจากบ้าน มันจะเอิกเกริกมากไปหน่อย

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

♥Love Is All Around♥


















ไข้หวัดหมูฤทธิ์อ่อน มีอัตราของผู้เสียชีวิตเพียงแค่ร้อยละ 0.1


หน.ฝ่ายแพทย์รัฐบาลอังกฤษ ระบุ ชาวเมืองน้ำชา มีผู้ป่วยเพียง 26 คน ต่อประชากร 100,000 คน มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1 และมีผู้เสียชีวิตลงเพียงร้อยละ 0.026… หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยทางการแพทย์อังกฤษเปิดเผยว่า โรคระบาดไข้หวัดใหญ่หมูมีฤทธิ์ ที่จะทำให้คนถึงแก่ชีวิตได้น้อยกว่าที่เกรงกันมาก มีอัตราการเสียชีวิตไม่ถึงร้อยละ 0.1 เท่านั้นเองเฉพาะชาวเมืองน้ำชา มีผู้ป่วยเพียง 26 คน ต่อประชากร 100,000 คน เทียบได้เท่ากับมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1 และมีผู้เสียชีวิตลงเพียงร้อยละ 0.026 อย่างไรก็ตาม เซอร์ เลียม โดนัลด์สัน หัวหน้าฝ่ายแพทย์ของรัฐบาล ผู้เป็นหัวหน้าในการศึกษา กล่าวว่า การมีอัตราเสียชีวิตต่ำ นับว่า "เป็นโชคดีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกของศตวรรษที่ 21 ถือได้ว่า ทำให้ถึงแก่ชีวิตน้อยกว่าที่เกรงกันมาก" และเสริมว่า "แต่ก็ไม่ควรจะหมายความว่า การที่มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าที่เกรงกัน จะทำให้สมควรจะวางมือลง เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว กับการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับผู้ที่ตกอยู่ในความเสี่ยง เช่น ผู้ที่เป็นหืด เบาหวาน โรคหัวใจ และสตรีมีครรภ์".

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นักวิจัยระบุว่า อวัยทั้งสามคือ ตา หู และผิวหนัง สามารถทำหน้าที่สลับกันได้

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา ระบุว่า มนุษย์เรามิได้มีตาไว้ดู มีหูไว้ฟัง หรือมีผิวหนังไว้รับการสัมผัสเท่านั้น อวัยวะทั้งสามนี้ ยังสามารถสลับหน้าที่ซึ่งกันและกันได้ด้วย
ความรู้พื้นฐานทางประสาทวิทยาสอนไว้ว่า ระบบการฟังของร่างกายทำหน้าที่บันทึกเสียง ในขณะที่ระบบการมองบันทึกภาพ กล่าวได้ว่า ระบบประสาทแบ่งหน้าที่ทำงาน โดยไม่มีการสลับงาน และเมื่อสมองรับเสียง และภาพจากระบบทั้งสองที่แยกจากกันแล้ว จึงจะนำเสียงและภาพไปผสมรวมกันให้
แต่ผลงานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า สมองของเรานั้นสามารถอาศัยเสียงเพื่อมองดู และใช้แสงเพื่อรับฟังได้
มีการทดลองให้ลิงหาแหล่งที่มาของแสง เมื่อส่องแสงสว่าง การหาแหล่งที่มาทำได้ง่ายมาก แต่ทำได้ยากขึ้นเมื่อหรี่แสงลงต่ำ แต่ถ้าส่งเสียงประกอบแสงสลัวนั้นด้วยแล้ว ลิงสามารถหาแหล่งแสงได้อย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยความรู้เรื่องประสาทวิทยาอย่างที่เคยเรียนกันมา
นักวิทยาศาสตร์บันทึกปฏิกิริยาของแซลล์ประสาท และพบว่าเมื่อให้เสียงประกอบแสงสลัว แซลล์ประสาททำงานเสมือนกับว่า แสงนั้นมีความสว่างมากขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเร็วจนนักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า จะต้องมีการติดต่อกันโดยตรงระหว่างหูกับตา หมายความว่า แซลล์ประสาทของเราสามารถสลับหน้าที่ทำงานกันได้
ทีมงานวิจัย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า อาจใช้ผลงานวิจัยนี้ ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมคนตาพิการจึงมีประสาทการรับฟังเฉียบคมเป็นพิเศษ ในขณะที่คนหูหนวกมักจะมองเห็นภาพได้ดีกว่าคนทั่วไป ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสก็อาจช่วยทั้งการมองและการฟังได้ด้วย
นักวิทยาศาสตร์ในแคนาดาทดลองให้อาสาสมัครรับฟังการออกเสียงพยัญชนะที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น อักษร p, t, b, และ d และพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ถูกแตะที่ผิวหนัง เมื่อรับฟังการออกเสียง สามารถระบุตัวอักษรได้อย่างถูกต้องทุกตัว เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ไม่ถูกแตะตัว
ส่วนการแตะต้องที่ผิวหนังช่วยการมองอย่างไรนั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ให้นึกถึงเวลาเราตบยุงก่อนจะเห็นตัวยุงด้วยซ้ำไปเป็นตัวอย่าง หรืออาจจะได้เคยเห็นข่าวทางโทรทัศน์ ที่แสดงให้เห็นประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าตบแมลงวันในขณะที่นั่งให้สัมภาษณ์อยู่กับผู้สื่อข่าวในทำเนียบไว้ท์ เฮ้าส์เมื่อหลายเดือนมาแล้วเป็นตัวอย่างก็ได้

♥ไอเดียดีๆ กับของใช้เก๋ๆ♥
















วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Toon ~ เคยทำผิดมั้ย?
















ปูนซีเมนต์


ปูนซีเมนต์ หมายถึง สารที่สามารถยึดหรือประสานของ แข็งให้ติดเป็นชิ้นเดียวกันในงานก่อสร้าง พัฒนาการมาจากยุคโบราณที่มีการนำเอาหินก้อนโตๆ มาปรับปรุงให้เป็นรูปของเสาหรือฝา โดยทำให้เป็นแผ่นมาเรียงซ้อนกัน และนั่นทำให้เกิดมีมอร์ตาร์ (mortar) ขึ้น เพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อก้อนหินใหญ่อันเป็นโครงสร้างที่ถาวร ชาวอียิปต์ใช้สารซีเมนต์ซึ่งทำจากยิปซัมผสมกับทรายและน้ำผ่านการเผา เพื่อก่อสร้างสิ่งต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นวัสดุประสานระหว่างหินในการสร้างพีระมิดเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนกรีกและโรมันใช้ปูนขาวผสมให้เข้ากันอย่างดี กระทุ้งให้แน่นเพื่อให้สิ่งก่อสร้างคงทน ต่อมาพวกเขาหันมาใช้เถ้าภูเขาไฟที่บดละเอียดผสมปูนขาวและทราย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อการละลายของน้ำ เนื่องจากเถ้าภูเขาไฟมีธาตุซิลิกาและอะลูมินาที่พร้อมจะทำปฏิกิริยากับปูนขาว เรียกว่า ปฏิกิริยาปอซโซลานิก (pozzolanic reaction) ซึ่งหมายถึงวัสดุที่ละเอียดคล้ายเถ้าภูเขาไฟเมื่อผสมกับปูนขาวและน้ำทำให้ได้สารซีเมนต์ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาปูนซีเมนต์อย่างกว้างขวางเริ่ม พ.ศ. 2299 จอห์น สมีตัน ชาวอังกฤษ ศึกษาจนพบว่าการผสมวัสดุปอซโซลานกับปูนขาวที่เผาจากหินปูนที่มีดินเหนียวผสมอยู่จะได้สารซีเมนต์ที่ดี ส่วนกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ที่นับได้ว่าเป็นต้นแบบ คิดค้นขึ้นโดย หลุยส์ ไวแคต ในปี 2356 โดยการเผาส่วนผสมของหินชอล์กและดินเหนียวที่ผ่านการบดละเอียด กระทั่ง พ.ศ.2367 โจเซฟ อัสป์ดิน ช่างก่อสร้างชาวอังกฤษ ค้นพบว่าการนำเอาผงหินปูนที่เผาแล้วผสมกับผงดินเหนียว นำไปเผาในเตา ก่อนนำผงมาบดให้ละเอียด จะได้ผงซีเมนต์มีสีเหลืองเทาคล้ายกับหินในเกาะเมืองปอร์ตแลนด์ เขาจึงตั้งชื่อว่า ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (Portland Cement) และจดลิขสิทธิ์ แล้วการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ก็พัฒนามาเป็นลำดับถึงทุกวันนี้ปูนซีเมนต์แบ่งเป็น 5 ชนิด คือ 1.ชนิดธรรมดา เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่เหมาะกับงานก่อสร้างทั่วไป แต่ชนิดนี้มีข้อเสียคือไม่ทนต่อสารที่เป็นด่าง หรือเกลือซัลเฟต 2.ชนิดให้ความร้อนและทนด่างได้ปานกลาง เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลงเพื่อให้ต้านทานต่อสารที่เป็นด่างได้ปานกลาง และจะเกิดความร้อนปานกลางในช่วงหล่อ เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด เช่น ตอม่อ ท่าเทียบเรือ เป็นต้น 3.ชนิดเกิดแรงสูงเร็ว ซีเมนต์ชนิดนี้เกิดแรงสูงเร็วในระยะแรก เหมาะสำหรับงานที่ต้องการถอดไม้แบบเร็ว เช่น เสาเข็ม พื้นถนนที่จราจรคับคั่ง เป็นต้น ซีเมนต์ชนิดนี้มีเนื้อละเอียดมากกว่าชนิดอื่นๆ แต่อาจทำให้เกิดรอยร้าวบนผิวคอนกรีต ได้ง่าย4.ชนิดคายความร้อนต่ำ เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ชนิดพิเศษที่มีอัตราการคายความร้อนต่ำ กำลังของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลดีทำให้การขยายตัวน้อย ช่วยลดการแตกร้าว เหมาะกับงานสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 5.ชนิดมีความต้านทานต่อสารที่เป็นด่าง เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่ทนต่อเกลือซัลเฟตได้สูง เหมาะกับงานก่อสร้างบริเวณดินเค็มหรือใกล้กับทะเล โดยปกติซีเมนต์ชนิดนี้จะแข็งตัวช้ากว่าธรรมดา ยังมีปูนซีเมนต์ที่ผลิตขึ้นโดยดัดแปลงเพื่อให้เหมาะกับงาน และราคาถูกลง ได้แก่ 1.ปูนซีเมนต์ผสม นำปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ผสมกับทรายหรือหินบดละเอียด ประมาณ 25-30% ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน ลดการแตกร้าว เหมาะกับงานก่ออิฐ ฉาบปูน 2.ปูนซีเมนต์ขาว เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่มีส่วนผสมของหินปูนและวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีปริมาณของแร่เหล็กน้อยกว่า 1% ผงสีปูนที่ได้จะเป็นสีขาว สามารถผสมกับสีฝุ่นเพื่อทำให้เป็นปูนซีเมนต์สีต่างๆ ตามต้องการ จึงนิยมใช้ในงานตกแต่งเพื่อความสวยงาม

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

【 แฟชั่น คอนเทคเลนส์ 】
















ทำไมต้องหายใจในถุงกระดาษ?


ทำไมต้องหายใจในถุงกระดาษ?ในปกติแล้วในร่างกายต้องมีก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สมดุลย์กัน แต่บางครั้งเมื่อเกิดความเครียดหรือความวิตกกังวลอาจทำให้เราเกิดอาการหายใจจติดขัด หายใจเร็ว ร่างกายจึงได้รับออกซิเจนมากเกินไป เส้นเลือดจะหดตัวเพื่อลดปริมาณออกซิเจน เลือดจึงไปเลี้ยงหัวใจสมองน้องลง ทำให้เกิดอาการคลื่นใส้ เจ็บหน้าอก มือเท้าชา ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นอาการมือเท้าเกร็ง หรืออาจทำให้เป็นลมได้ การหายใจลงถุงกระดาษและหายใจเอาอากาศเดิมเข้าไป ก็เพื่อเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ให้กลับมาสู่สภาวะที่สมดุล

โอเมก้า 6


โอเมก้า 6 หรือกรดไลโนเลอิก จัดเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งพบมากในข้าวโพด น้ำมันพืช เมล็ดทานตะวัน งา และถั่วชนิดต่างๆ กรดไขมันโอเมก้า 6 มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและรักษาสมดุลของร่างกาย และช่วยป้องกันโรคได้อีกหลายโรค เช่น ป้องกันโรคสมองเสื่อม ลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวให้สดใส ลดอาการเจ็บปวดและอาการอักเสบของบาดแผล และยังช่วยในการชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้