++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เปิดเทอม เย่เย่ friends

SkaJanS MooNShadoW 5555++

เปิดเทอม เย่เย่ 01


i miss you >>My Mickey Mouse<<

เปิดเทอม เย่เย่


i miss my friends

Jack-o'-lantern>ตะเกียงฟักทอง<


Jack-o'-lantern, Jack O'Lantern ou Citrouille-lanterneest un personnage traditionnel de la fête d'Halloween : c'est une citrouille évidée et éclairée de l'intérieur avec une bougie dans laquelle un visage souvent grimaçant a été découpé.




A jack-o'-lantern (sometimes also spelled Jack O'Lantern) is typically a carved pumpkin. It is associated chiefly with the holiday Halloween, and was named after the phenomenon of strange light flickering over peat bogs, called ignis fatuus or jack-o'-lantern. In a jack-o'-lantern, typically the top is cut off, and the inside flesh then scooped out; an image, usually a monstrous face, is carved onto the outside surface, and the lid replaced. At night a light (commonly a candle, although in recent years candles have fallen out of favor and are now considered unsafe because of the potential for fires) is placed inside to illuminate the effect. The term is not particularly common outside North America, although the practice of carving lanterns for Halloween is.




Thai


ตะเกียงฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ'-แลนเทิร์น (อังกฤษ: Jack-o'-lantern) เป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งสถานที่ซึ่งนิยมใช้ในเทศกาลฮาโลวีน มีลักษณะเป็นผลฟักทองสีส้ม (ไม่นิยมใช้ฟักทองเอเซีย) แกะสลักเป็นรูปหน้าคนในกริยาต่างๆ โดยมากมักเป็นกริยาแสดงอาการข่มขวัญ หรือโอดครวญ ทั้งนี้ การใช้ตะเกียงฟักทอง เป็นการระลึกถึง jack ชายชาวนาในตำนานที่หาญกล้าต่อกรกับซาตาน


Halloween

L’Halloween (au Canada, avec un déterminant) ou Halloween (sans article, forme utilisée en France) est une fête qui se déroule dans la nuit du 31 octobre au 1er novembre. Elle est fêtée principalement en Irlande, au Canada, en Grande-Bretagne et aux États-Unis. La principale tradition veut que les enfants se déguisent avec des costumes qui font peur (squelettes, sorcières, monstres, etc.) et aillent sonner aux portes en demandant aux adultes, souvent eux aussi déguisés, des bonbons, des fruits ou de l'argent en disant, dans les régions anglophones, Trick or treat! (Des bonbons ou un mauvais sort !) ou simplement Halloween!. D'autres activités incluent des bals masqués, le visionnement de films d'horreur, la visite de maisons « hantées », etc.

วันฮาโลวีน (อังกฤษ: Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน คนทั่วไ ปในเข้าใจผิดกันว่าเป็นคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

นางสาวไทย

การประกวดนางสาวไทย เป็นการประกวดความงามรายการแรกของประเทศไทย ในยุคแรกเป็นกิจกรรมส่งเสริมงานฉลองรัฐธรรมนูญ ต่อมาจึงเป็นการคัดเลือกตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่รู้จักแก่นานาประเทศ และในปัจจุบัน นางสาวไทยทำหน้าที่เป็นทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก

การประกวดนางสาวไทยสามารถแบ่งออกเป็น 5 ยุคได้แก่

นางสาวไทย ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2477- พ.ศ. 2483)
การประกวดนางสาวไทย จัดครั้งแรกในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยใช้ชื่อว่า "นางสาวสยาม" รัฐบาลได้จัดขึ้นในงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ ภายในพระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งเป็นสโมสรคณะราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2477 เป็นการเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญเป็นปีที่สอง แต่เริ่มจัดการประกวดนางสาวสยามเป็นปีแรก กำหนดระยะเวลาจัดงาน 5 วัน คือวันที่ 8 - 12 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ในคืนวันที่ 8 ธันวาคม เป็นการคัดเลือก นางสาวธนบุรี คืนวันที่ 9 ธันวาคม เป็นคัดเลือก นางสาวพระนคร และคืนวันที่ 10 - 12 ธันวาคม เป็นการประกวด นางสาวสยาม โดยผู้เข้าประกวดแต่งกายด้วยชุดไทยห่มสไบเฉียง นุ่งซิ่นยาวกรอมเท้า ต่อมาในพ.ศ. 2482 จึงเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อกระโปรงติดกัน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมของไทย เสื้อเปิดหลัง กางเกง กระโปรงยาวถึงเข่า และได้เพิ่มการสวมใส่ชุดกีฬา กางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุดเปิดหลังในปีถัดมา
ในยุคที่ 1 จัดการประกวดที่พระราชอุทยานสราญรมย์ ประเทศไทยมีผู้ได้รับเลือกเป็น "นางสาวสยาม" จำนวน 5 คน และ "นางสาวไทย" จำนวน 2 คน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 1 ว่าด้วยนามของประเทศ พ.ศ. 2482 กำหนดเรียกนามของประเทศว่าประเทศไทย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใด ซึ่งใช้คำว่า "สยาม" ให้ใช้คำว่า "ไทย" แทน ดังนั้น การประกวด "นางสาวสยาม" จึงเปลี่ยนมาใช้การประกวด "นางสาวไทย" นับตั้งแต่ พ.ศ. 2482
ขณะที่รัฐบาลกำลังเตรียมจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484 ซึ่งกำหนดเริ่มในวันที่ 8 ธันวาคม แต่ในเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคมนั้น กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งหลายแห่ง มีการสู้รบกันที่ บางปู สมุทรปราการ อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ปัตตานี ฯลฯ ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะสงคราม งานฉลองรัฐธรรมนูญในปีนั้นจึงถูกยกเลิกทันที และไม่มีการจัดงานไปจนสงครามสงบ

นางสาวไทย ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2491 - พ.ศ. 2497)
หลังสงครามสงบ ใน พ.ศ. 2488 พระนครบอบช้ำจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมาก ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูอยู่ระยะหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ. 2491 รัฐบาลจึงได้จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญขึ้นอีกครั้ง และการประกวดนางสาวไทยในยุคที่ 2 ได้เริ่มอีกครั้งในปี พ.ศ. 2491 แต่ปี พ.ศ. 2492 มีงานฉลองรัฐธรรมนูญแต่เว้นการประกวดไป ปีถัดมารัฐบาลกลับมาจัดการประกวดอีกครั้ง โดยเพิ่มการสวมใส่ชุดว่ายน้ำในการประกวดด้วยและได้จัดการประกวดต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่รัฐบาลเป็นผู้มีบทบาทในการจัดการประกวด เนื่องจากงานฉลองรัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไปอีก เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองในช่วงรอยต่อของประชาธิปไตยและเผด็จการ การประกวดนางสาวไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลองรัฐธรรมนูญก็จึงไม่ได้จัดขึ้นด้วย สถานีโทรทัศน์ ช่อง 8ดำเนินการถ่ายทอดสด

นางสาวไทย ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2507 - พ.ศ. 2515)
จากการที่งานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไป ทำให้ไม่มีการประกวด นางสาวไทยในช่วงเวลาดังกล่าว แต่มักจะมีการจัดในระดับท้องถิ่น หรือการประกวดเนื่องในโอกาสหรือวาระพิเศษต่าง ๆ เช่น การประกวดเทพีลุมพินี ที่สวนลุมพินี (คนสมัยนั้นส่วนใหญ่จะเรียกสวนลุมพินีรวมว่า สนามมวยลุมพินีแต่ไม่ได้เป็นจัดการประกวดในสนามมวยแต่อย่างใด) , การประกวดนางสาวไทย โทรทัศน์ช่อง 4 , การประกวดนางงามตุ๊กตาทอง ในงานประกวดภาพยนตร์ตุ๊กตาทอง , การประกวดสาวงาม องค์กฐินชิงถ้วยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ทดลองจัดการประกวด "นางงามวชิราวุธ" ขึ้นในงานวชิราวุธานุสรณ์ ซึ่งเป็นงานที่สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ อีกวัตถุประสงค์คือ เพื่อสร้างความบันเทิง แก่ประชาชนผู้มาเที่ยวงาน ส่วนสถานที่จัดงานคือบริเวณพระราชอุทยานสราญรมย์ จากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ จุดมุ่งหมายของการจัดประกวด นางสาวไทย ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการใช้ตำแหน่งนางสาวไทย เป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียง ให้แก่ประเทศ และ ใช้รูปแบบของการเข้าร่วมประกวดนางงาม ระดับชาติทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ. 2507 คณะกรรมการการจัดงานวชิราวุธานุสรณ์ ได้มีการเปลี่ยนชื่อการประกวดมาเป็นการประกวด "นางสาวไทย "
การประกวดนางสาวไทยในยุคที่ 3 ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงประเทศไทยโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นางสาวไทยเป็นสื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และสร้างภาพพจน์ให้ชาวโลกรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น เมื่อสถานีโทรทัศน์ ช่อง 8ยุติการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์ทีวีช่อง 4 บางขุนพรหมได้ดำเนินการถ่ายทอดสดต่อไป

นางสาวไทย ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2527- พ.ศ. 2542)
ในปี พ.ศ. 2516 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง การประกวดนางสาวไทยจึงได้หยุดจัดไป จนปี พ.ศ. 2527 สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยฯ โดยนายชาติเชื้อ กรรณสูต นายกสมาคม และเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ได้รื้อฟื้นการจัดประกวดนางสาวไทยขึ้นอีกครั้ง เพื่อคัดเลือกตัวแทนไปประกวดนางงามจักรวาล โดยในปี พ.ศ. 2527 ได้จัดการประกวดขึ้นที่ เวทีกลางแจ้ง โรงแรมแกรนด์พาเลซ พัทยา จ.ชลบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ได้จัดการประกวดที่เวทีกลางสวนน้ำสวนสยาม ซึ่งในปีนั้นได้เกิดฝนตกอย่างหนัก ทำให้การประกวดต้องหยุดชะงักเป็นช่วงๆ เป็นอุปสรรคต่อการประกวด หลังจากนั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมา การประกวดจึงได้จัดในอาคาร ซึ่งจากการเว้นว่างการประกวดไปนานหลายปี ทำให้ช่วงสองปีแรกไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนเท่าใดนัก ทั้งผู้สมัครที่มีจำนวนน้อยและหาผู้สนับสนุนการประกวดยาก หลังจากนั้นผู้คนเริ่มรู้จัก "นางสาวไทย" กันมากขึ้น จึงมีผู้สนใจสมัครเข้าประกวด และภาคเอกชนเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนต่างๆกันมาก นางงามคนที่36ได้เข้าประกวดเป็นครั้งสุดท้ายในปี1999 สุรางค์ เปรมปรีด์ ดูแลการผลิตรายการของช่อง7สีได้รับผิดชอบการประกวดสิ้นสุดการประกวดนางงามช่อง7สี ปี พ.ศ. 2542

นางสาวไทย ยุคปัจจุบัน (พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2550)
เนื่องจากเกิดปัญหาเรื่องสิทธิประโยชน์ในชื่อ "นางสาวไทย" ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์คือสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ กับเจ้าของสิทธิ์ในการจัดการประกวดคัดเลือกตัวแทนสาวไทยไปประกวดนางงามจักรวาล คือ สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ทั้งสองฝ่ายจึงได้แยกกันจัด โดยทางสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ยังจัดการประกวดนางสาวไทยต่อไป แต่นางสาวไทยไม่ได้สิทธิ์ไปประกวดนางงามจักรวาล และสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ ได้ ให้สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เป็นผู้ดำเนินการจัดการประกวด โดยมีการพัฒนารูปแบบการจัดประกวดให้เหมาะสมกับความเป็นกุลสตรี สภาพเศรษฐกิจ และสังคม ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น อาทิ การยกเลิกการใส่ชุดว่ายน้ำบนเวที เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของสตรีไทย , การใช้ คอมพิวเตอร์ เพื่อการประมวลผลคะแนน , การวัดระดับ IQ และ EQ รวมทั้งการนำความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวด มาใช้ประกอบในการพิจารณาการตัดสิน เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดในทุกๆด้าน ไม่ใช่แต่เพียงความสวยอย่างเดียว นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการประกวดรอบคัดเลือกในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้หญิงไทยทั่วประเทศ ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประกวดอย่างทั่วถึง ในยุคนี้ ผู้ที่ได้รับตำแหน่ง นางสาวไทยจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง "ทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว" ทำหน้าที่เผยแพร่วัฒนธรรม ประเพณีของไทย ให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก ซึ่งต้องเดินทางไป ยังสำนักงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่มีสำนักงานสาขาถึง 17 แห่งทั่วโลก รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตามจังหวัดต่างๆ ภายในประเทศตลอดทั้งปี จุดมุ่งหมายของการประกวดในยุคนี้ ตรงกับแนวคิดของคำว่า "นางสาวไทย" ที่คนไทยเข้าใจความหมาย จึงได้รับการสนับสนุนจากองค์กรและส่วนราชการต่าง ๆ มากมาย อาทิ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

ภาษาอังกฤษทางธุรกิจที่ใช้กันผิดบ่อยๆ

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจอย่างปัจจุบันนี้ คุณต้องหาข้อเป็นต่อให้มากเท่าที่จะหาได้ไว้ดีกว่า การพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องจะทำให้คุณก้าวนำคนอื่นอย่างมั่นใจ คิดว่ายากเกินไปเหรอ? ไม่เลย ! ลองอ่านดูข้อที่คู่แข่งขันคุณใช้ผิดบ่อยๆ แล้วจำคำที่ถูกไปใช้ได้ทันที
Personal vs. Personnel
สังเกตการสะกดคำและการเน้นเสียงของสองคำนี้! "Personnel" เป็นคำนามหมายถึงพนักงานในบริษัท เช่น"Our company has the best personnel in the industry." การเน้นเสียงจะเน้นพยางค์ท้ายของคำ ส่วน"Personal" เป็นคำ adjective หมายถึงส่วนตัวหรือส่วนบุคคล เช่น "I'm requesting a day of annual leave for personal reasons." การเน้นเสียงจะเน้นที่พยางค์แรกของคำ แล้วถ้าคุณไม่ระวัง คุณอาจถูกเรียกตัวเข้าประชุม "personal meeting" ไม่ใช่ "personnel meeting." อย่างที่ควรจะเป็น
Executive
"executive" หมายถึงคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ถ้าคุณต้องแนะนำ executives ระดับสูงให้แก่แขกหรือลูกค้า ก็ระวังการเน้นเสียงของคำนี้ให้ดี ! อย่าไปเน้นเสียงตรงอักษร "u" เพราะไม่อย่างนั้นคำว่า "executive" จะออกเสียงเหมือนกับคำว่า "execute" ซึ่งแปลว่าฆ่าหรือประหารชีวิต
Present? Presentate? Presentation?
คุณ present(เสนอ)รายงานข้อมูลเมื่อคุณให้ presentation(การนำเสนองาน) คำว่าPresent เป็น verb หมายถึงแนะนำบางสิ่งให้เป็นที่รู้จักหรือกล่าวถึงบางสิ่งให้เป็นที่สนใจแก่คนอื่น ส่วนคำว่า presentationเป็นการเรียกกระบวนการนำเสนอหรือการแนะนำข้อมูลใหม่ในทางธุรกิจ มีคนมากมาย(รวมทั้งเจ้าของภาษาบางคนด้วย)ที่คิดว่า "presentate" เป็น verb ของคำว่า "presentation." คุณอย่าคิดผิดอย่างนั้นด้วยก็แล้วกัน เพราะคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ !
"I look forward to hearing from you."
ประโยคนี้ใช้กันบ่อยในการลงท้ายจดหมายทางธุรกิจ แต่คนมักใช้ผิดเป็น"I look forward to hear from you." ซึ่งไม่ถูกหลักไวยากรณ์และฟังดูตลกๆ สำหรับคนอ่านที่เป็นเจ้าของภาษา ที่ถูกต้องคือคำกิริยา "hear" ในประโยคนี้ต้องต่อท้ายด้วย "ing" เสมอ ดังนี้ "I look forward to hearing from you."
Headquarters and Information
มีคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่มากมายที่สะกดสองคำนี้ผิดโดยการตัด"s" ออกจาก "headquarters" แต่ไปเติม "s"ใน"information" ที่ถูกต้องคือ Headquartersซึ่งคำนี้เป็นคำนามเอกพจน์หมายถึงสำนักงานใหญ่ของบริษัท เช่น "I'm going to headquarters this weekend to meet with the CEO." คำว่า Headquarters อาจสับสนหน่อยเพราะถึงแม้ว่าจะลงท้ายด้วย "s" แต่มันก็ไม่ใช่พหูพจน์ ! ถ้าคุณตัด "s" ออกจากคำว่า headquarters คำนี้จะเปลี่ยนเป็นคำกิริยา "to headquarter" ทันที ในทางตรงกันข้าม การเติม"s" เข้าที่ information นั้นไม่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าเขาต้องการข้อมูล(information)มากมาย ก็ควรทำให้คำนี้เป็นพหูพจน์ เช่น "I need informations on overseas study programs." แต่ตามความเป็นจริงที่ถูกต้องแล้ว คำว่า information เป็นคำนามที่นับไม่ได้ (ไม่มีรูปพหูพจน์) เพราะฉะนั้น คุณต้องพูดเพียงว่า "I need some information."

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฟักทอง 0*0



La citrouille (Cucurbita pepo) est une plante annuelle appartenant au genre Cucurbita et à la famille des Cucurbitaceae. C'est aussi le nom de son fruit volumineux, de couleur jaune orangé


Cette plante est l'emblème d'une fête traditionnelle nord-américaine, l'Halloween, récemment importée sur le Vieux Continent. Les citrouilles sont évidées, découpées en forme de visage et illuminées. On les place à l'extérieur de la maison le soir de l'Halloween pour indiquer aux enfants qu'ils peuvent venir chercher des friandises.
Ce sont des Jack-o'-lantern, ou Citrouille lanterne.


ฟักทอง (Pumpkin(ทอง), Kabocha (เขียว)) เป็นพืชชนิดหนึ่ง มักจัดเป็นพวกผัก เนื่องจากนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร แต่ก็ยังนำไปทำของหวานเป็นอาหารว่างได้ด้วย ปกติฟักทองเมื่อแก่จัดจะมีสีเหลืองอมส้ม เป็นพืชมีเถา ปลูกได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อนและเขตหนาว ในทางพฤกษศาสตร์ จัดอยู่ในสกุล Cucurbita Cucurbitaceae ถือว่าเป็นพืชดั้งเดิมของโลกตะวันตก

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Tinker Bell




Tinker Bell has been one of Disney's most important branding icons for over half a century, and is generally known as "a symbol of 'the magic of Disney." She has been featured in television commercials and program opening credits sprinkling pixie dust with her wand in order to shower a magical feeling over various other Disney personalities, though the 1953 animated version of Tinker Bell never actually used a wand. In the picture and the official Disney Character Archives, she is referred to as a pixie, and the term pixie dust is a description of the "fairy dust" she uses in the original book.
Despite an urban legend that the original animated version of Tinker Bell was modeled after Marilyn Monroe, Disney animator Marc Davis's reference was actress Margaret Kerry.[3] He illustrated Tinker Bell as a young blond woman clad in a lime-green, hip-length dress with a rigid trim, and green slippers with white puffs. She is trailed by small amounts of pixie dust when she moves, and this dust can help humans fly if they believe it will.
Since 1954, Tinker Bell has featured as a hostess for much of Disney's live-action television programming, beginning with Disneyland (which first introduced the theme park to the public while it was still under construction), to Walt Disney Presents, Walt Disney's Wonderful World of Color, and The Wonderful World of Disney. In 1988, the same year The Wonderful World of Disney moved from ABC to NBC as The Magical World of Disney, she closed the end of Who Framed Roger Rabbit with a sprinkling of fairy dust as the screen went to black prior to the closing credits. A new, self-titled animated feature, in which Disney's version of the character speaks for the first time, is scheduled for release on DVD in October 2008.
At Disneyland, Tinker Bell is prominently featured in Peter Pan's Flight, a suspended dark ride based on the artwork from the animated film. Located in Fantasyland, it is one of the few remaining original attractions from the park's opening day. Beginning in 1961, she was also featured as a live performer who flew through the sky at the climax of some of the nightly fireworks displays. She was originally played by 71-year-old gymnast Tiny Kline, up until her retirement three years later

Peter Pan


Peter Pan is a fictional character created by Scottish novelist and playwright J. M. Barrie (1860–1937). A mischievous boy who flies and magically refuses to grow up, Peter Pan spends his never-ending childhood adventuring on the small island of Neverland as the leader of his gang the Lost Boys, interacting with fairies and pirates, and from time to time meeting ordinary children from the world outside. In addition to two distinct works by Barrie, the character has been featured in a variety of media and merchandise, both adapting and expanding on Barrie's works.

Peter Pan first appeared in a section of The Little White Bird, a 1902 novel written for adults. Following the highly successful debut of the play about Peter Pan in 1904, Barrie's publishers, Hodder and Stoughton, extracted chapters 13-18 of The Little White Bird and republished them in 1906 under the title Peter Pan in Kensington Gardens, with the addition of illustrations by Arthur Rackham.
The character's best-known adventure debuted on 27 December 1904, in the stage play Peter Pan, or The Boy Who Wouldn't Grow Up. This story was adapted and expanded somewhat as a novel, published in 1911 as Peter and Wendy, and later as Peter Pan and Wendy.
Peter Pan has appeared in numerous adaptations, sequels, and prequels since then, including the widely known 1953 animated feature film Walt Disney's Peter Pan, various stage musicals, live-action feature films Hook (1991) and Peter Pan (2003), and the authorized sequel novel Peter Pan in Scarlet (2006). He has also appeared in various works not authorized by the holders of the character's copyright, which has lapsed in most parts of the world

10 "โรคประหลาด"

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ
1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"
ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน
2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้
3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S
5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง
6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น
7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ
8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช
9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี
10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

## KFC ##



KFC (abréviation de Kentucky Fried Chicken), ou PFK (Poulet Frit du Kentucky) au Québec, est une chaîne de restauration rapide américaine basée à Louisville dans le Kentucky. Au Québec, PFK utilise du poulet du Québec. Fondée par le Colonel Sanders au milieu du XXe siècle, elle appartient désormais au groupe Yum! Brands, Inc. et est connue notamment pour ses recettes à base de poulet. Aujourd’hui présent à travers plus de 14 000 restaurants, dont 79% sont gérés en franchise, dans 80 pays, KFC est la chaîne de restauration rapide de poulet la plus connue au monde. Elle sert chaque jour près de 8 millions de clients dans le monde entier.


เคเอฟซี หรือ เคนทักกีฟรายชิคเกน (อังกฤษ: KFC หรือ Kentucky Fried Chicken) เป็นธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดในเครือยัม! แบรนด์ส อิงส์ มีต้นกำเนิดมาจากมลรัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา โดยอาหารหลักคือไก่ทอด


Histoire


Né à Henryville, dans l'Indiana, Harland Sanders est depuis son plus jeune âge passionné par la cuisine. Après avoir exercé de nombreux métiers pendant sa jeunesse, afin de subvenir aux besoins de sa famille, il décide en 1940 de servir ses propres recettes aux clients de la station service qu'il possède à Corbin dans le Kentucky. Fort de son succès, il ouvre un motel-restaurant de l'autre côté de la rue, une affaire fleurissante qui lui permet de débuter la création d'un réseau de franchises à travers le pays. La construction d'une nouvelle autoroute inter-états à l'emplacement de son affaire quelques années plus tard le contraint à fermer. Ruiné, il part alors sillonner l'Amérique à la recherche d'un restaurant qui accepterait de lui acheter ses poulets. Il constitue sa nouvelle société, qu'il nomme Kentucky Fried Chicken sous les conseils de Pete Harman, propriétaire de la toute première franchise vendue par le Colonel. Sa jeune société va dés lors commencer à croître, jusqu'à compter 600 points de vente à travers l'Amérique[2], mais il s’en sépare en 1964, la vendant pour 2 millions de dollars à un groupe d'investisseurs dirigé par le futur gouverneur du Kentucky, John Y. Brown, Jr. Ce dernier, diplômé de l'université de droit du Kentucky , engage Pete Harman ainsi qu'un financier de Nashville, John Jack Massey.
Les deux hommes se battent donc dès lors pour obtenir les droits des franchises internationales, comme celle anglaise et celle canadienne. Le Colonel est donc relégué principalement au rang d'icône publicitaire, chargé de tourner des spots télévisés et d'inaugurer de nouveaux établissements. Brown et Massey s'attèlent à étendre l'enseigne sur tout le territoire américain, implantant des restaurants dans chacun des 50 États. La modification la plus considérable sera sans aucun doute le passage d'un concept de restaurant dine-in, où l'on est servi à table, à un concept plus ancré dans la restauration rapide : passer la commande et se faire servir à la caisse. Ces transformations furent un véritable succès, tant pour les consommateurs que pour les franchisés.
L'abréviation du nom Kentucky Fried Chicken en KFC a été introduite par la société en 1991. Bien qu'aucune explication officielle n'ait jamais été fournie, on retient trois hypothèses concernant ce changement. La première serait que la chaîne ne voulait pas être identifiée uniquement à son poulet puisqu'elle proposait également d'autres plats et condiments qu'elle désirait faire connaître. La seconde accuserait la connotation péjorative du mot fried (frit), souvent gage de mauvaise qualité. Enfin, la dernière mettrait en cause le simple fait qu'une version raccourcie du nom de la chaîne sonnerait plus jeune. Récemment la compagnie a commencé à réintroduire le nom de Kentucky Fried Chicken en le citant dans ses publicités, et l'apposant sur certains de ses produits


ร้านแรกของเคเอฟซีเปิดเมื่อปี พ.ศ. 2482 โดยผู้พันฮาร์แลนด์ ดี แซนเดอร์ส ที่ปั๊มน้ำมันในเมืองคอร์บิน มลรัฐเคนทักกี และเปิดร้านแฟรนไชส์สาขาแรกเมื่อ พ.ศ. 2495 ในภายหลังเมื่อกิจการได้รับความนิยม ผู้พันแซนเดอร์สจึงขายกิจการให้กับกลุ่มนักลงทุนอื่นในปี พ.ศ. 2505 ด้วยมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในภายหลังแบรนด์เคเอฟซีถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มบริษัท PepsiCo ซึ่งได้แยกธุรกิจเกี่ยวกับอาหารออกมาเป็นบริษัท TRICON ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ยัม! แบรนด์ส อิงค์ ในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สารเมลามีน คืออะไร

เมลามีน คือ พลาสติกชนิดหนึ่งมีสารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรารู้จักคุ้นเคยกันคือ ฟอร์มาลีน ส่วนใหญ่เมลานีนจะถูกนำมาผลิตพลาสติก จานเมลามีน ถุงพลาสติก พลาสติกสำหรับห่ออาหาร นอกจากนี้เมลามีนยังอยู่ในอุตลาหกรรมเม็ดสีเป็นหมึกพิมพ์สีเหลือง นอกจากนี้ยังนำไปทำน้ำยาดับเพลิงคุณภาพดี น้ำยาทำความสะอาด และปุ๋ย เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างสูง
คุณสมบัติของเมลามีน
เป็นเมตาโบไลท์ของไซโรมาซีน(Cyromazine) ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและพืชได้รับเข้าไปในร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเมลามีนได้ มีไนโตรเจน 66.67 % คิดเป็นปริมาณโปรตีนได้ 416.66 % จัดเป็นพวก Non-Protein Nitrogen (NPN) ในสัตว์กระเพาะรวม แต่ไม่นิยมใช้เพราะการ Hydrolysis ช้าและไม่สมบูรณ์เหมือนยูเรีย ลักษณะเป็นผงสีขาว มีสูตรโครงสร้างทางเคมี C3H6 N6 (1,3,5 Triazine 2,4,6 Triamine) ละลายน้ำได้น้อย เมลามีนคุณภาพดีจะนำไปทำเม็ดพลาสติกเรียกเม็ดเลซินเมลามีน ส่วนเศษที่เหลือหรือเมลามีนที่คุณภาพเลวจะนำกลับไปทำของใช้ ซึ่งเมลานีนคุณภาพเลวนี้ขบวนการของมันไม่สมบูรณ์จึงมีราคาถูก และเกิดอนุพันธ์ของเมลามีนขึ้นหลายชนิด เรียกว่า เมลามีนอันนาล็อก ประกอบด้วย ammeline,ammelide และ cyanuric acid แม้จะเป็นอนุพันธ์ของเมลามีนแต่ก็ยังมีโปรตีนสูงถึง 224.36 %
เมลามีนในประเทศจีน
จีนมีโรงงานผลิตเมลามีน 3 แหล่งใหญ่ ๆ ซึ่งร่ำรวยมาก ผลิตเมลามีนเดือนละหลายหมื่นตันในเมืองจีนเมลามีนวางขายหลากหลายยี่ห้อ และมีการับรองมาตรฐานอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประกาศขายเมลามีนผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในเมืองจีนมีขายและใช้กันมากในการผลิตอาหารสุนัข อาหารสุกร รวมถึงแป้งที่คนกิน นอกจากจะนำมาใช้ในประเทศแล้ว จีนยังมีการส่งเมลามีนเข้าไปขายในประเทศที่ 3 ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลลิปปินส์ โดยไม่ได้นำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมจานเมลามีน แต่เอามาปนเปื้อนในอาหารคนอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ขายจากจีนจะไม่บอกว่าเป็นเมลามีนโดยบอกว่าเป็น ไบโอโปรตีน โดยเป็นเมลานีนเศษเหลือจากโรงงานพลาสติก ราคาถูก นำเข้าในราคากิโลกรัมละ 1.20 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เมืองจีนราคาประมาณกิโลกรัมละ 1-2 หยวนเท่านั้น
ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสารที่เข้ามาเป็นเมลามีน เพราะไม่มีน้ำยาสำหรับตรวจสอบได้ มีแต่ตรวจเช็คการปนเปื้อนยูเรีย Non-Protein Nitrogen คือ ปุ๋ย เป็นพวกแอมโมเนียมไนเตรท แอมโมเนียมฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต นอกจากนั้นยังมีการตรวจการปนเปื้อนขนไก่ไฮโดรไลซ์เศษหนังเท่านั้น
ความเป็นพิษของเมลามีน
เกิดการระคายเคืองเมื่อสูดดมทำให้ตาและผิวหนังอักเสบ เมื่อกินเข้าไประบบสืบพันธุ์ถูกทำลาย เกิดนิ่วในท่อปัสสาวะและไต เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ในสุนัขจะขับถ่ายออกมามาก ปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะลดลง มีเมลามีนในปัสสาวะสูง และเห็นเกร็ดเล็ก ๆ สีขาวเกิดขึ้นที่ไตและปัสสาวะ โดยน้ำปัสสาวะจะมีสีขาวขุ่นและมีโปรตีนและเลือดถูกขับออกมาด้วย กรณีในคนจะมีปัญหาท่อปัสสาวะล้มเหลว ในปลาไร้เกล็ด(ปลาดุก) เกร็ดจะเกิดผิวสีดำ ตับและไตขนาดใหญ่(ตับแตก) และตายในที่สุด
ผลของเมลามีนต่อสุกร – ไก่
อาการที่พบในสุกร ผอมซูบไม่กินอาหาร ตายแบบเฉียบพลันเพราะไตวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าว่าเป็น PRRS หรือเซอร์โคไวรัส ขี้จะแข็งเป็นเม็ดกระสุน ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นรุนแรง พื้นคอกสีขาวเนื่องจากการขับเมลามีนออกมากับปัสสาวะ ผิวหนังที่มีการสัมผัสเมลามีนจะเป็นมะเร็งได้ (ในสุกรจะเห็นผิวหนังเป็นจุดแดง) ถ้าสูดดมเอาเมลามีนเข้าไปจะทำให้โพรงจมูกอักเสบ และมักพบสุกรส่วนหนึ่งตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การแสดงอาหารป่วยจะพบ 30–100 % แต่การตายจะพบ 20-80 % วิการเมื่อผ่าซากจะพบไตแข็ง มีสีเหลืองผิวเป็นเม็ดน้อยหน่า และจะพบโรคแทรกซ้อนมากมาย
อาการที่พบในไก่เนื้อ ไตจะใหญ่กว่าปกติ 3-4 เท่า บริเวณอุ้งเท้าไก่จะเน่าเพราะมูลที่ขับถ่ายออกมาเหนียวมากจึงเกาะติดทำให้เกิดการระคายเคืองกับอุ้งเท้าไก่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนขาย จึงเกิดความเสียหายขึ้นจะมาก-น้อยแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
เส้นทางการสืบค้นหาเมลามีนในเมืองไทย
จากการตรวจสอบวัตถุที่นำเข้าจากจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่เป็นข้อสงสัยเกิดขึ้นจากการค้นคว้าเจาะลึกลงไป พอดีกับที่ได้ไปงาน VIV ที่จีน พร้อมไปเป็นวิทยากรที่เมืองจีนอีกหลายครั้ง ก็ได้เห็นสินค้าหลากหลายวางขายจึงเก็บมาวิเคราะห์ก็เลยแน่ใจว่าเป็น เมลามีน โดยเมลามีนที่ตรวจพบในเมืองไทยที่ปนเปื้อนมากับวัตถุดิบอาหารมีหลากหลายชนิด ประกอบด้วย
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (ผงสีขาว)
- โพลีเมธิลคาร์บาไมล์ (ผงสีขาว)
- โพลียูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) เรซิน
- เมลามีนฟอร์มาลดีไฮด์ (MF) เรซิน
- เมลามีนยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ (MUF) เรซิน
ซึ่งมีตั้งแต่สีเหลืองจนขาว ขาวเทา เทาและดำ เมลามีน(ผงสีขาว) และเมลามีนไซอนูเลท(เป็นรูปเกลือที่เกิดจากเมลามีนและกรดไซอนูริค) โดยเมื่อตรวจสอบเปอร์เซ็นต์โปรตีนพบสูงตั้งแต่ 160-450 % จึงเริ่มมีการทำเทสคิดและสำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยน้ำยาสารละลาย A (ความเป็นด่างสูง) และน้ำยาสารละลาย B (ความเป็นกรมสูง)
ขั้นตอนในการตรวจสอลเมลามีน
1. ตรวจสอบโดยตรงจากกล้องจุลทรรศน์ (ต้องมีความชำนาญและฝึกอบรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารด้วยกล้องจุลทรรศน์มาก่อน) จะสามารถเห็นสารนี้ได้ โดยจะเห็นเป็นคริสตัลแวววาวสีแตกต่างกันไปถ้าปลอมปนในโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากข้าวโพด ข้าวลาสี ถั่วเหลือง (กากถั่วเหลืองและถั่วอบ) มักจะเป็นสีเหลืองหรือขาว
2. หยดสารละลาย A ลงไปจะเกิดตะกอนขุ่นขาวครั้งแรก (มองจากกล้องจุลทรรศน์) และจะเปลี่ยนเป็นตะกอนขุ่นสีเทาดำเกิดขึ้น เมื่อทิ้งไว้ 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวเคลือบอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีสีดำเทาแสดงว่าเป็นพวก UF ถ้าเป็น MF จะได้สารละลายสีเหลืองและ MUF จะเป็นสีเหลืองอ่อน
3. ตรวจสอบจากกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับขั้นตอนที่ 2 แต่ให้หยดสารละลาย B ลงไปจะเกิดสีชมพู-ม่วงคราม-ม่วงน้ำเงินเกิดขึ้นเป็นพวก UF สำหรับ MF จะได้สีชมพู และ MUF ต้องทิ้งไว้ 15-20 นาที จึงจะเกิดสีชมพูอ่อน
4. น้ำตัวอย่างอาหารที่จะทดสอบโดยละลายในน้ำกลั่น อัตราส่วนอาหารต่อน้ำ 1 : 10 แล้วคนให้เข้ากันขณะคนให้สังเกตถ้ามีสารปนเปื้อนอาหารจะจับตัวเป็นขุยก้อนเล็ก ๆ สังเกตดูน้ำที่ใช้ละลายจะไม่ใส มีสีขาวเหมือนน้ำข้าวต้ม แสดงได้ทันทีว่ามีเมลามีนผงสีเทาปนเปื้อน ทิ้งไว้ในตะกอนแล้วกรองด้วยกระดาษกรอง Whatman No.4 หรือดูดเอาน้ำไปทดสอบกับสารละลาย A และ B
วัตถุดิบอาหารสัตว์หลักที่ต้องระวัง
อันดับแรกคือ ปลาป่น โปรตีนจากพืชที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น corn gluten , soy bean meal, soy protein , rice bran, rice protein concentrate โปรตีนจากวุ้นเส้น DDGS จากเมืองจีนและโพลีนคลอไรด์จากเมืองจีน รำสกัดในบ้านเราก็ไม่น่าไว้วางใจ ฟลูแฟตซอยก็เช่นเดียวกัน

ประโยชน์ของการ ยิ้ม ++smile++


หลายคนคงคิดว่าการยิ้ม คงไม่สำคัญ วันนี้มิ้นเจนมีประโยชน์ของการยิ้มมาฝาก...
1. มีเสน่ห์
หลายคนที่ไม่ได้หล่อไม่ได้สวย แต่ทุกครั้งที่ยิ้ม ก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสว่างไสวไปกับรอยยิ้มของเขา หลายคนไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเองยิ้มสวยแค่ไหน ต้องลองยิ้มกับกระจกและสำรวจดูบ้าง
2. มีมิตรมากกว่าศัตรู
รอยยิ้มที่จริงใจและถูกกาลเทศะ จะสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรู ว่ากันว่า รอยยิ้มคือเครื่องมือกะเทาะกำแพงน้ำแข็ง หรือความเย็นชาแปลกหน้าที่ผู้คนมีต่อกันได้เป็นอย่างดี ใครจะรู้ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ส่งให้กันในวันนี้ อาจนำพาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตมาให้เราก็ได้
3. มีความสดชื่น
รอยยิ้มเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ที่สดชื่น เหมือนกับความสดชื่นนั้นคือต้นไม้ และรอยยิ้มก็คือดอกไม้ อารมณ์และสภาพจิตของคนเรา ปลูกต้นอะไรไว้ก็ย่อมจะออกดอกเป็นสิ่งนั้น
4. มีกำลัง
หลายคนบอกว่า เมื่อเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ หรือความยากลำบาก ให้ยิ้มเข้าไว้ จะทำให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะว่ารอยยิ้ม คือกำลังของชีวิตอย่างหนึ่ง
5. มีมุมมองที่ดี
คนที่มีอุปนิสัยยิ้มแย้ม จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้ในเวลาที่มีปัญหา ก็จะยิ้มสู้ และพลิกปัญหาหรืออุปสรรคเหล่านั้นให้กลายเป็นโอกาสขึ้นมาได้
อ่านแล้วก็หันมายิ้มกันดีกว่า เพื่อสุขภาพจิตที่ดี.

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ขี้หูมาจากไหน??


หู เป็นอวัยวะของสัตว์ที่ใช้การดักคลื่นเสียง เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทการได้ยิน ส่วนรูหูส่วนนอกเท่านั้นที่มีต่อมสร้างขี้หู ทำให้เราพบขี้หูอยู่รอบๆ ปากทางเข้ารูหู ซึ่งมีหน้าที่ดักฝุ่น , สิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปถึงเยื่อแก้วหู


ธรรมชาติสร้างรูหูให้มีรูปร่างเป็นกรวย มีปากทางเข้ากว้างกว่ารูหูส่วนใน ขี้หูที่สะสมอยู่นี้ปกติจะแห้งหลุดออกมาได้เอง โดยไม่เคลื่อนตัวเข้าไปในส่วนลึกๆ ของรูหู จึงไม่จำเป็นที่คนจะต้องแคะหูหรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดหู เพราะบ่อยครั้งอาจจะดันให้ขี้หูเข้าไปสะสมในรูหูส่วนใน หรือทำให้รูหูถลอก อักเสบ-ติดเชื้อได้ หนังหุ้มรูหูส่วนในนั้นเปราะบางมาก เวลาแหย่หูลึกๆ ถ้ากระแทกโดนจะเจ็บมาก

หลายคนเข้าใจผิดว่า ควรต้องเช็ดรูหูให้สะอาดเสมอ หรือเช็ดหูด้วยไม้พันสำลีหลังอาบน้ำทุกครั้ง แต่จริงๆ แล้ว มีขี้หูเคลือบรูหูบ้างจะดีกว่า เพราะว่ายิ่งเช็ดหรือแคะหูมาก รูหูจะยิ่งแห้งและคันหูได้มากกว่า หลังอาบน้ำหรือสระผม ถ้าน้ำเปียกหู อาจใช้ไม้พันสำลีชนิดเนื้อแน่น ขนาดเล็ก ซับน้ำที่ปากรูหูนิดหน่อยก็พอ


ถ้าน้ำเข้าหูเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา หรือหูยังอื้ออยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีขี้หูในส่วนลึกของรูหูซึ่งอมน้ำไว้ กรณีเช่นนี้ควรให้แพทย์ หู-คอ-จมูก ตรวจทำความสะอาดหู แพทย์อาจล้างหูด้วยการฉีดน้ำ หรือใช้เครื่องดูดขี้หู แล้วแต่ความเหมาะสม


ผู้ที่มีปัญหาขี้หูมาก หรือขี้หูแห้ง - คันหูมาก หลังจากให้แพทย์ทำความสะอาดหูแล้วอาจใช้น้ำมันพวก GLYCERINE, BABY OIL หยอดหูอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยชะล้างรูหูให้สะอาดขึ้นได้ วิธีนี้ใช้ได้ดีกับเด็กเล็กๆ เพราะรูหูเล็ก เช็ดก็ยาก แคะก็ยาก


การให้อภัย ( Forgiveness )

ให้อภัย ชนะการให้ทั้งปวง
การให้อภัย เป็น ธรรมชั้นสูง น่ายกย่อง
การให้อภัย เป็น งานชั้นเยี่ยมของชีวิต
การให้อภัย คือ การทำบุญให้ตนเอง
ผู้ให้อภัย เป็นผู้ชนะ และเป็นสุข .....
สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส
ถ้าไม่ถือก็ไม่ทุกข์พบสุขใจ
ใครอยากได้สุขหรือทุกข์ฉุกคิดกัน
│\__╭╭╭╭╭__/│
│           │
│           │ I
│ >       ●  │ I
│≡  ╰┬┬┬╯  ≡│ I
│    ╰─╯    │
╰──┬O───O┬──╯
 │ M I S. U│
 ╰┬───┬╯

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง


กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ


1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต


ผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


• ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่

• ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล

• การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่ ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

เลือกแชมพูสมุนไพร.... ให้เหมาะกับผม


หลายคนคงเคยใช้หรือถ้ายังไม่เคยก็คงมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่า "ส่วนผสมจากธรรมชาติ" เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างมากถ้าเลือกใช้ให้เหมาะกับเส้นผมของคุณ จะช่วยให้ผมมีสุขภาพดีและสวยขึ้นได้


ลองมาดูตัวอย่างของแชมพูสมุนไพรที่ได้ยินชื่อกันอยู่บ่อย ๆ ค่ะ


แชมพูว่านหางจระเข้

มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยบำรุงรักษาเส้นผมไม่ให้หลุดร่วง และยังบำรุงหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี


แชมพูต้นชา

เหมาะกับคนที่มักพบปัญหารังแคบนหนังศีรษะอยู่บ่อย ๆ เพราะน้ำมันที่สกัดจากต้นชาจะเป็นตัวรักษาให้เส้นผมและหนังศีรษะของคุณดีขึ้นได้จริง ๆ ใครที่มีปัญหานี้ก็ลองมองหาแชมพูที่สกัดจากต้นชามาใช้ดูค่ะ


แชมพูผสมรากขิง

ขิงนอกจากรับประทานเป็นเครื่องดื่มหรืออาหารสมุนไพรแล้ว ยังช่วยในการขับลมได้เป็นอย่างดี การนำรากขิงมาสกัดเป็นแชมพูสระผมนั้นยังช่วยในการรักษาสภาพหนังศีรษะได้เป็นอย่างดีไม่ว่ารังแคหรือหนังศีรษะที่เป็นแผล แชมพูชนิดนี้จะช่วยให้ปัญหาเหล่านั้นหายไปได้


แชมพูอัลมอนด์อัลมอนด์

มีคุณค่าทางอาหารในเรื่องโปรตีนเมื่อนำอัลมอนด์มาสกัดเป็นแชมพู คุณก็จะได้โปรตีนจากอัลมอนด์อีกทางหนึ่งทำให้ผมมีสุขภาพดีมีประกายเงางาม


แชมพูมะพร้าว

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเส้นผมที่แห้งกรอบ ลองมองหาแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าวมาใช้ดู น้ำมันมะพร้าวจะเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเส้นผมได้มากทีเดียว และยังทำให้ผมดูดกดำเงางามด้วย

Chutes Victoria



Les chutes Victoria sont l'une des plus spectaculaires chutes d'eau. Elles sont situées sur le fleuve Zambèze , qui constitue à cet endroit la frontière entre la Zambie, à proximité de la ville de Livingstone, et le Zimbabwe. Le fleuve se jette dans la cataracte sur environ 1 700 mètres de largeur, et une hauteur de 128 mètres. Elles donnent un spectacle particulièrement remarquable, par leur disposition particulière - elles se jettent dans une longue faille du plateau, pour s'échapper par un étroit canyon. Elles peuvent ainsi être vues de face à quelques mètres.
David Livingstone, l'explorateur écossais, fut le premier européen à observer les chutes en 1855, et les nomma en l'honneur de la Reine Victoria, bien qu'elles étaient connues des populations locales sous le nom de Mosi-oa-Tunya, la « fumée qui gronde ». La ville zambienne voisine est du nom de l'explorateur. Les chutes sont le lieu de deux parcs nationaux, le Mosi-oa-Tunya National Park en Zambie et le Victoria Falls National Park au Zimbabwe, et aujourd'hui l'une des principales destinations touristiques en Afrique australe.

De nombreux ilots au sommet des chutes divisent le flot en une série de chutes distinctes. La brume et le sourd grondement produits sont perceptibles jusqu'à une distance d'environ 40 kilomètres. À travers les siècles, les chutes ont remonté l'aval du fleuve, s'écoulant en différents endroits des gorges, formant de nos jours le canyon escarpé et en zig-zag en aval des chutes.
La marmite, qui est le début d'une impressionnante série de gorges (80 kilomètres de long) à travers lesquelles la rivière s'écoule après les chutes, est barrée par un pont long de 198 mètres et s'élevant à 94 mètres au dessus des eaux. Il est l'un des seuls quatre ponts franchissant le fleuve. Il est un lieu connu de pratique de benji. Le rafting est pratiqué dans les gorges en contrebas.

Pendant la saison des pluies, le fleuve charrie quelque 9 100 m³ d'eau par seconde. Pendant la saison sèche, les chutes peuvent occasionnellement être réduites à quelques cascades, et le grondement et le brouillard disparaître. À ce moment il est possible, si l'on n'est pas sujet au vertige de se baigner jusqu'à l'extrême limite de la crête.


Les chutes Victoria font partie du patrimoine mondial de l'UNESCO

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Farm Chokchai [+o+]





ปากต่อปากเลย>น้องหมาป้อนนมน้องวัว<
อาจารณ์ของเรายังไม่แก่ ไม่เชื่อดูที่ภาพเลย 55++


ขี่ม้ากัน หนุกหนุก

ภาพนี้อาจารณ์ของเราเอง 55++ ชูสองนิ้วด้วย

วัวตัวใหญ่ ๆ ๆ ๆ ๆ


รักสัตว์ค่ะ(จะอุ้มกลับบ้านแหละ)
นกน้อยในกรงใหญ่

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

mickey mouse ++love++


Mickey Mouse est un personnage de fiction appartenant à l'univers Disney, apparaissant principalement dans des dessins animés et dans des bandes dessinées. Véritable ambassadeur de la Walt Disney Company, il est présent dans la plupart des secteurs d'activité de la société, que ce soit l'animation, la télévision, les parcs d'attractions ou les produits de consommation. Mickey est utilisé comme un vecteur de communication et ses qualités doivent respecter la morale prônée par « Disney », que ce soit par Walt ou par l'entreprise elle-même. Mickey Mouse est connu et reconnu dans le monde entier, son célèbre profil formé de trois cercles étant devenu indissociable de la marque Disney.
Mickey a été créé en 1928, après que Walt Disney eut dû laisser son premier personnage, Oswald le lapin chanceux, à son producteur. Les premiers courts métrages qui le mettent en scène sont principalement animés par Ub Iwerks[1], associé de Walt Disney au sein des studios Disney (alors installés dans le studio d'Hyperion Avenue). Il devient plus tard aussi un personnage de bandes dessinées, de longs métrages, de séries télévisées et d'une myriade de produits dérivés.
Mickey Mouse représente une souris anthropomorphique. Il s'est d'abord, avant la première diffusion, nommé Mortimer Mouse ; c'est la femme de Disney qui, trouvant ce nom peu vendeur, a proposé Mickey. Pour la Walt Disney Company, la souris a comme date officielle de naissance le 18 novembre 1928, date de la première « présentation publique » de Steamboat Willie[2].
Le personnage est aussi célèbre pour sa voix de fausset. C'est Walt Disney lui-même qui donna sa voix originale au personnage de Mickey, du premier dessin animé jusqu'en 1946, année au cours de laquelle Disney désigna Jim MacDonald pour le remplacer, en raison d'un problème de toux chronique dû à la cigarette[3]. Jim MacDonald est ensuite remplacé par Wayne Allwine, à partir de 1983.
Mickey est souvent accompagné de son ami Dingo et de son chien Pluto. Il noue aussi une idylle avec Minnie, une autre souris qui voit le jour en même temps que lui. Mickey n'est pas resté longtemps uniquement sur les écrans. Il apparaît dans les journaux en bande dessinée quotidienne dès le 13 janvier 1930. Cette publication est distribuée par le King Features Syndicate, scénarisée par Walt Disney et dessinée par Ub Iwerks.
Pour souligner l'importance de Mickey dans l'aventure globale de l'univers Disney, Walt Disney a déclaré, à propos de son personnage : « Tout ce que j'espère, c'est que l'on ne perde pas de vue une chose : tout a commencé avec une souris. »