++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

New Year's Day


New Year's Day is the first day of the new year. On the modern Gregorian calendar, it is celebrated on January 1, as it was also in ancient Rome (though other dates were also used in Rome). In all countries using the Gregorian calendar as their main calendar, except for Israel, it is a public holiday,[citation needed] often celebrated with fireworks at the stroke of midnight as the new year starts. January 1 on the Julian calendar corresponds to January 14 on the Gregorian calendar, and it is on that date that followers of some of the Eastern Orthodox churches celebrate the New Year.

History

Probably observed on March 1 in the old Roman Calendar, New Year's Day was fixed on January 1 by the period of the Late Republic. Some have suggested this occurred in 153 BC, when it was stipulated that the two annual consuls (after whose names the years were identified) entered into office on that day, though no consensus exists on the matter.[2] Dates in March, coinciding with the spring equinox, or commemorating the Annunciation of Jesus, along with a variety of Christian feast dates were used throughout the Middle Ages, though calendars often continued to display the months in columns running from January to December
Among the 7th-century pagans of Flanders and the Netherlands, it was the custom to exchange gifts at the New Year, a pagan custom deplored by Saint Eligius (died 659 or 660), who warned the Flemings and Dutchmen, "[Do not] make vetulas, [little figures of the Old Woman], little deer or iotticos or set tables [for the house-elf, compare Puck] at night or exchange New Year gifts or supply superfluous drinks [another Yule custom]." The quote is from the vita of Eligius written by his companion, Ouen.
Most countries in Western Europe officially adopted January 1 as New Year's Day somewhat before they adopted the Gregorian calendar. The Feast of the Annunciation, March 25 (9 months before December 25), was the first day of the new year in England until the adoption of the Gregorian Calendar in 1752. The March 25 date was called Annunciation Style; the January 1 date was called Circumcision Style, because this was the date of the Feast of the Circumcision, being the eighth day counting from December 25.[citation needed]
Acording to some traditional Christian beliefs January 1st, New Years Day is the eight day of Christmas of the twelve days of Christmas. Christmas and New Year's Day are linked theologically because the western calendar used in most of the world (A.D. or C.E.) is based on the birth of Christ and the day of the celebration of Christ's birth Christmas Day is on December 25 or just seven days before New Year's Day. It is also only about ten days after the Winter Solstice or shortest day of the year in the northern hemisphere and the Summer Solstice or longest day in the year in the southern hemisphere, thus solar cycles are also linked to New Year's

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เตือน อย่าไว้ใจน้ำร้อนลวกช้อน


เวลาไปกินข้าวตามฟู้ดเซ็นเตอร์ตามที่ต่าง ๆ เราจะหยิบช้อนพร้อมกับมีหม้อน้ำร้อนวางอยู่ข้าง ๆ ให้เราได้ลวกช้อนอย่าได้คิดว่าช้อนที่แช่ลงไปในน้ำร้อนนั้นจะสะอาดปลอดเชื้อเพราะถ้าหม้อน้ำร้อนนั้นไม่มีการเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ ราว ทุกชั่วโมงหม้อน้ำใบนั้นจะเป้นแหล่งรวมเชื้อโรค เหมือนกับเราจุ่มลงไปในน้ำล้างช้อนและถ้าน้ำไม่เดือด เชื้อโรคก็ไม่ได้ตายไปหรอกนะจ๊ะวิธีที่ควรปฏิบัติ หนึ่ง ดูว่าน้ำในหม้อต้มร้อนจนเดือดหรือไม่สอง ควรแช่ช้อนเป็นระยะเวลาพอสมควร ไม่ใช่จุ่มเสร็จแล้วเอาขึ้นมาเลยแบบนั้นมันได้แค่สบายใจว่าช้อนสะอาดเคยเห็นบางแห่งประกาศไว้เลยว่า เขาจะเปลี่ยนน้ำทุกกี่ชั่วโมง ก็พอไว้ใจได้ถ้าไม่ผ่านมาตรฐานนี้ ไม่แช่น้ำร้อน จะปลอดภัยกว่าแต่คงไม่ต้องระวังขนาด พกช้อนส้อม ออกจากบ้าน มันจะเอิกเกริกมากไปหน่อย

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

♥Love Is All Around♥


















ไข้หวัดหมูฤทธิ์อ่อน มีอัตราของผู้เสียชีวิตเพียงแค่ร้อยละ 0.1


หน.ฝ่ายแพทย์รัฐบาลอังกฤษ ระบุ ชาวเมืองน้ำชา มีผู้ป่วยเพียง 26 คน ต่อประชากร 100,000 คน มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1 และมีผู้เสียชีวิตลงเพียงร้อยละ 0.026… หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยทางการแพทย์อังกฤษเปิดเผยว่า โรคระบาดไข้หวัดใหญ่หมูมีฤทธิ์ ที่จะทำให้คนถึงแก่ชีวิตได้น้อยกว่าที่เกรงกันมาก มีอัตราการเสียชีวิตไม่ถึงร้อยละ 0.1 เท่านั้นเองเฉพาะชาวเมืองน้ำชา มีผู้ป่วยเพียง 26 คน ต่อประชากร 100,000 คน เทียบได้เท่ากับมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1 และมีผู้เสียชีวิตลงเพียงร้อยละ 0.026 อย่างไรก็ตาม เซอร์ เลียม โดนัลด์สัน หัวหน้าฝ่ายแพทย์ของรัฐบาล ผู้เป็นหัวหน้าในการศึกษา กล่าวว่า การมีอัตราเสียชีวิตต่ำ นับว่า "เป็นโชคดีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกของศตวรรษที่ 21 ถือได้ว่า ทำให้ถึงแก่ชีวิตน้อยกว่าที่เกรงกันมาก" และเสริมว่า "แต่ก็ไม่ควรจะหมายความว่า การที่มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าที่เกรงกัน จะทำให้สมควรจะวางมือลง เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว กับการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับผู้ที่ตกอยู่ในความเสี่ยง เช่น ผู้ที่เป็นหืด เบาหวาน โรคหัวใจ และสตรีมีครรภ์".

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นักวิจัยระบุว่า อวัยทั้งสามคือ ตา หู และผิวหนัง สามารถทำหน้าที่สลับกันได้

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา ระบุว่า มนุษย์เรามิได้มีตาไว้ดู มีหูไว้ฟัง หรือมีผิวหนังไว้รับการสัมผัสเท่านั้น อวัยวะทั้งสามนี้ ยังสามารถสลับหน้าที่ซึ่งกันและกันได้ด้วย
ความรู้พื้นฐานทางประสาทวิทยาสอนไว้ว่า ระบบการฟังของร่างกายทำหน้าที่บันทึกเสียง ในขณะที่ระบบการมองบันทึกภาพ กล่าวได้ว่า ระบบประสาทแบ่งหน้าที่ทำงาน โดยไม่มีการสลับงาน และเมื่อสมองรับเสียง และภาพจากระบบทั้งสองที่แยกจากกันแล้ว จึงจะนำเสียงและภาพไปผสมรวมกันให้
แต่ผลงานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า สมองของเรานั้นสามารถอาศัยเสียงเพื่อมองดู และใช้แสงเพื่อรับฟังได้
มีการทดลองให้ลิงหาแหล่งที่มาของแสง เมื่อส่องแสงสว่าง การหาแหล่งที่มาทำได้ง่ายมาก แต่ทำได้ยากขึ้นเมื่อหรี่แสงลงต่ำ แต่ถ้าส่งเสียงประกอบแสงสลัวนั้นด้วยแล้ว ลิงสามารถหาแหล่งแสงได้อย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยความรู้เรื่องประสาทวิทยาอย่างที่เคยเรียนกันมา
นักวิทยาศาสตร์บันทึกปฏิกิริยาของแซลล์ประสาท และพบว่าเมื่อให้เสียงประกอบแสงสลัว แซลล์ประสาททำงานเสมือนกับว่า แสงนั้นมีความสว่างมากขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเร็วจนนักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า จะต้องมีการติดต่อกันโดยตรงระหว่างหูกับตา หมายความว่า แซลล์ประสาทของเราสามารถสลับหน้าที่ทำงานกันได้
ทีมงานวิจัย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า อาจใช้ผลงานวิจัยนี้ ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมคนตาพิการจึงมีประสาทการรับฟังเฉียบคมเป็นพิเศษ ในขณะที่คนหูหนวกมักจะมองเห็นภาพได้ดีกว่าคนทั่วไป ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสก็อาจช่วยทั้งการมองและการฟังได้ด้วย
นักวิทยาศาสตร์ในแคนาดาทดลองให้อาสาสมัครรับฟังการออกเสียงพยัญชนะที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น อักษร p, t, b, และ d และพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ถูกแตะที่ผิวหนัง เมื่อรับฟังการออกเสียง สามารถระบุตัวอักษรได้อย่างถูกต้องทุกตัว เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ไม่ถูกแตะตัว
ส่วนการแตะต้องที่ผิวหนังช่วยการมองอย่างไรนั้น นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ให้นึกถึงเวลาเราตบยุงก่อนจะเห็นตัวยุงด้วยซ้ำไปเป็นตัวอย่าง หรืออาจจะได้เคยเห็นข่าวทางโทรทัศน์ ที่แสดงให้เห็นประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าตบแมลงวันในขณะที่นั่งให้สัมภาษณ์อยู่กับผู้สื่อข่าวในทำเนียบไว้ท์ เฮ้าส์เมื่อหลายเดือนมาแล้วเป็นตัวอย่างก็ได้

♥ไอเดียดีๆ กับของใช้เก๋ๆ♥
















วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Toon ~ เคยทำผิดมั้ย?
















ปูนซีเมนต์


ปูนซีเมนต์ หมายถึง สารที่สามารถยึดหรือประสานของ แข็งให้ติดเป็นชิ้นเดียวกันในงานก่อสร้าง พัฒนาการมาจากยุคโบราณที่มีการนำเอาหินก้อนโตๆ มาปรับปรุงให้เป็นรูปของเสาหรือฝา โดยทำให้เป็นแผ่นมาเรียงซ้อนกัน และนั่นทำให้เกิดมีมอร์ตาร์ (mortar) ขึ้น เพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อก้อนหินใหญ่อันเป็นโครงสร้างที่ถาวร ชาวอียิปต์ใช้สารซีเมนต์ซึ่งทำจากยิปซัมผสมกับทรายและน้ำผ่านการเผา เพื่อก่อสร้างสิ่งต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นวัสดุประสานระหว่างหินในการสร้างพีระมิดเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนกรีกและโรมันใช้ปูนขาวผสมให้เข้ากันอย่างดี กระทุ้งให้แน่นเพื่อให้สิ่งก่อสร้างคงทน ต่อมาพวกเขาหันมาใช้เถ้าภูเขาไฟที่บดละเอียดผสมปูนขาวและทราย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อการละลายของน้ำ เนื่องจากเถ้าภูเขาไฟมีธาตุซิลิกาและอะลูมินาที่พร้อมจะทำปฏิกิริยากับปูนขาว เรียกว่า ปฏิกิริยาปอซโซลานิก (pozzolanic reaction) ซึ่งหมายถึงวัสดุที่ละเอียดคล้ายเถ้าภูเขาไฟเมื่อผสมกับปูนขาวและน้ำทำให้ได้สารซีเมนต์ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาปูนซีเมนต์อย่างกว้างขวางเริ่ม พ.ศ. 2299 จอห์น สมีตัน ชาวอังกฤษ ศึกษาจนพบว่าการผสมวัสดุปอซโซลานกับปูนขาวที่เผาจากหินปูนที่มีดินเหนียวผสมอยู่จะได้สารซีเมนต์ที่ดี ส่วนกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ที่นับได้ว่าเป็นต้นแบบ คิดค้นขึ้นโดย หลุยส์ ไวแคต ในปี 2356 โดยการเผาส่วนผสมของหินชอล์กและดินเหนียวที่ผ่านการบดละเอียด กระทั่ง พ.ศ.2367 โจเซฟ อัสป์ดิน ช่างก่อสร้างชาวอังกฤษ ค้นพบว่าการนำเอาผงหินปูนที่เผาแล้วผสมกับผงดินเหนียว นำไปเผาในเตา ก่อนนำผงมาบดให้ละเอียด จะได้ผงซีเมนต์มีสีเหลืองเทาคล้ายกับหินในเกาะเมืองปอร์ตแลนด์ เขาจึงตั้งชื่อว่า ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (Portland Cement) และจดลิขสิทธิ์ แล้วการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ก็พัฒนามาเป็นลำดับถึงทุกวันนี้ปูนซีเมนต์แบ่งเป็น 5 ชนิด คือ 1.ชนิดธรรมดา เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่เหมาะกับงานก่อสร้างทั่วไป แต่ชนิดนี้มีข้อเสียคือไม่ทนต่อสารที่เป็นด่าง หรือเกลือซัลเฟต 2.ชนิดให้ความร้อนและทนด่างได้ปานกลาง เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลงเพื่อให้ต้านทานต่อสารที่เป็นด่างได้ปานกลาง และจะเกิดความร้อนปานกลางในช่วงหล่อ เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด เช่น ตอม่อ ท่าเทียบเรือ เป็นต้น 3.ชนิดเกิดแรงสูงเร็ว ซีเมนต์ชนิดนี้เกิดแรงสูงเร็วในระยะแรก เหมาะสำหรับงานที่ต้องการถอดไม้แบบเร็ว เช่น เสาเข็ม พื้นถนนที่จราจรคับคั่ง เป็นต้น ซีเมนต์ชนิดนี้มีเนื้อละเอียดมากกว่าชนิดอื่นๆ แต่อาจทำให้เกิดรอยร้าวบนผิวคอนกรีต ได้ง่าย4.ชนิดคายความร้อนต่ำ เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ชนิดพิเศษที่มีอัตราการคายความร้อนต่ำ กำลังของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลดีทำให้การขยายตัวน้อย ช่วยลดการแตกร้าว เหมาะกับงานสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 5.ชนิดมีความต้านทานต่อสารที่เป็นด่าง เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่ทนต่อเกลือซัลเฟตได้สูง เหมาะกับงานก่อสร้างบริเวณดินเค็มหรือใกล้กับทะเล โดยปกติซีเมนต์ชนิดนี้จะแข็งตัวช้ากว่าธรรมดา ยังมีปูนซีเมนต์ที่ผลิตขึ้นโดยดัดแปลงเพื่อให้เหมาะกับงาน และราคาถูกลง ได้แก่ 1.ปูนซีเมนต์ผสม นำปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ผสมกับทรายหรือหินบดละเอียด ประมาณ 25-30% ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน ลดการแตกร้าว เหมาะกับงานก่ออิฐ ฉาบปูน 2.ปูนซีเมนต์ขาว เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่มีส่วนผสมของหินปูนและวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีปริมาณของแร่เหล็กน้อยกว่า 1% ผงสีปูนที่ได้จะเป็นสีขาว สามารถผสมกับสีฝุ่นเพื่อทำให้เป็นปูนซีเมนต์สีต่างๆ ตามต้องการ จึงนิยมใช้ในงานตกแต่งเพื่อความสวยงาม

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

【 แฟชั่น คอนเทคเลนส์ 】
















ทำไมต้องหายใจในถุงกระดาษ?


ทำไมต้องหายใจในถุงกระดาษ?ในปกติแล้วในร่างกายต้องมีก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สมดุลย์กัน แต่บางครั้งเมื่อเกิดความเครียดหรือความวิตกกังวลอาจทำให้เราเกิดอาการหายใจจติดขัด หายใจเร็ว ร่างกายจึงได้รับออกซิเจนมากเกินไป เส้นเลือดจะหดตัวเพื่อลดปริมาณออกซิเจน เลือดจึงไปเลี้ยงหัวใจสมองน้องลง ทำให้เกิดอาการคลื่นใส้ เจ็บหน้าอก มือเท้าชา ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นอาการมือเท้าเกร็ง หรืออาจทำให้เป็นลมได้ การหายใจลงถุงกระดาษและหายใจเอาอากาศเดิมเข้าไป ก็เพื่อเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ให้กลับมาสู่สภาวะที่สมดุล

โอเมก้า 6


โอเมก้า 6 หรือกรดไลโนเลอิก จัดเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งพบมากในข้าวโพด น้ำมันพืช เมล็ดทานตะวัน งา และถั่วชนิดต่างๆ กรดไขมันโอเมก้า 6 มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและรักษาสมดุลของร่างกาย และช่วยป้องกันโรคได้อีกหลายโรค เช่น ป้องกันโรคสมองเสื่อม ลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวให้สดใส ลดอาการเจ็บปวดและอาการอักเสบของบาดแผล และยังช่วยในการชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไวอากร้าของผู้หญิง ค้นคว้าหายารักษาโรคซึมเศร้ากลับได้

อาจารย์ ม.นอร์ธ แคโรไลนา เผยว่า ไวอากร้าของผู้หญิง เป็นยาแก้โรคซึมเศร้าอย่างเลว ได้นอกเหนื่อไปจากใช้เพื่อ แก้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศของมนุษย์...ยาแก้โรคซึมเศร้าขนานใหม่ ซึ่งไม่ผ่านการทดลองพ้นถึง 3 ครั้ง กลับมาสร้างความฮือฮาขึ้นอีกได้ เมื่อถูกพบว่าที่แท้มันคือยา "ไวอากร้าของผู้หญิง" ซึ่งนับเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ แบบเดียวกับยาไวอากร้าขนานของผู้ชายศาสตราจารย์จอห์น ทอร์ป หัวหน้าคณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา เล่าในที่ประชุมการแพทย์แห่งยุโรปว่า "มันเป็นยาแก้โรคซึมเศร้าอย่างเลว แต่ผู้สังเกตการณ์ตาแหลม พบในการทดลองในห้องปฏิบัติการว่า มันใช้แก้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศของมนุษย์และสัตว์ได้ ต่อมาถึงได้ทดลองตามสถานพยาบาลแห่งต่างๆ ทั้งที่อเมริกา แคนาดาและยุโรป กับผู้หญิง 2,000 คน"เขาบอกต่อไปว่า ผู้หญิงที่หมดความรู้สึกในเรื่องเพศ ที่ให้กินยานี้ทุกวัน มีอาการดีขึ้นอย่างชัดแจ้งและเป็นที่น่าพอใจอย่างไรก็ดี ยังมีแพทย์บางคนยังสงสัยว่า สตรีทั่วไปจำเป็นที่จะใช้ยาแบบนี้หรือไม่ เพราะหลายคนเห็นว่า การขาดความรู้สึกอยากได้ใคร่ดีเรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดา.

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กิน"ไข่"แค่ไหนถึงจะพอดี


ไข่ฟองกลมๆจะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่ เรามีคําตอบมาให้แล้ว

การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาทนอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง


"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย


ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน


ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต
ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัย เสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

50 คำคมดีๆ

1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย

2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้

4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้

5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ

6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง

7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย

8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น

10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ

11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต

12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ

13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม

14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล

15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป

16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง

17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต

18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก

19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง

20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด

21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด

22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง

23.ฝันได้แต่อย่าหวัง

24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง

25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด

26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด

27.พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา

28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต

29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต

30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ

31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง

32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร

33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง

34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี

35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง

36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น

37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้

39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้

40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ

41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง

42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน

43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้

44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ

45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน

46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน

47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี

49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ

50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย

แฟชั่นถุงน่องสีสดใส



ช่วงนี้ อากาศเริ่มเย็นๆ สบายๆ ได้เวลาสาวๆ สนุกกับการเลือกหา ถุงน่อง แฟชั่น น่ารักๆ มาใส่กันได้แล้วค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่า โหย... อากาศบ้านเราร้อนออกอย่างนี้ แล้วจะมาใส่ถุงน่องเดินน่ะเหรอ คงพิลึกน่าดู



หลายๆ คนอาจจะคิดว่า แฟชั่น ถุงน่อง นั้น เหมาะสำหรับสาวๆ เมืองหนาวเท่านั้น women.mthai ขอบอกค่ะ ว่าสาวๆ สามารถใส่เดินได้สบายๆ ในบ้านเรา ก็ลองคิดดูสิคะ เราใส่กางเกงขายาวกันเป็นปกติ แล้วจะไปต่างอะไรกับถุงน่อง บางคนใส่กางเกงยีนส์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าใส่ถุงน่องแล้วร้อน ก็หมดสิทธิ์ที่จะเถียงค่ะ


คำเตือน : สาวๆ อาจจะต้องดูสถานที่และโอกาสนิดนึง ว่าที่ที่ไปนั้น เหมาะสมรึเปล่า ถ้าใส่ไปออกงาน หรือ ไปเดินช้อปปิ้งตามห้างก็อาจจะโอเคvอยู่ แต่ถ้าใส่ไปเดินริมถนน อาจจะกลายเป็นตัวประหลาดได้นะคะ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เน็ตบำรุงสมอง ช่วยป้องกันสติปัญญาเสื่อมลงตามวัย

นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พบว่า การเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นหนทางช่วยป้องกันผู้สูงอายุ ไม่ให้สติปัญญาเสื่อมถอยลงไปได้ทางหนึ่ง..

ศาสตราจารย์ ดร.แกรี สมอลล์ อาจารย์ของสถาบันประสาทวิทยาซีเมล มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่สหรัฐฯกล่าวบอกว่า "เราสามารถจะสอนผู้สูงอายุ ให้รู้จักลูกเล่นของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะเคยพบมาแล้วว่า แม้แต่ผู้ที่ไม่สู้คุ้นเคยมาก่อน ชั่วฝึกเพียงแค่อาทิตย์เดียว ก็ปรากฏว่าบริเวณสมองมีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ อันเป็นสมองส่วนความคิด มีความคึกคักขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งมันก็มีเหตุผล เพราะเมื่อเรา กำลังค้นหาทางออนไลน์อยู่นั้น จำเป็นจะต้องใช้การตัดสินใจเป็นอันมาก"

บรรดาผู้เชี่ยวชาญปัจจุบัน พากันหันมายึดหลักว่า "สติปัญญาของคนเรานั้น ถ้าหากไม่ใช้มัน ก็จะสูญมันไปเสียเลย"

ดร. แกรีกับคณะได้ศึกษากับผู้สูงอายุวัยระหว่าง 55-78 ปี ที่ยังมีสติสัมปชัญญะปกติ ให้หันมาท่องเน็ต ในขณะที่ได้ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมองไปด้วย วันละ 1 ชม. ติดกัน 7 วัน และปรากฏผลลัพธ์ว่า "โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่เคยจับมาบ้างแล้ว สมองของพวกเขาได้แสดงให้เห็นว่ามีความเคลื่อนไหว ขึ้นขนาดมากทีเดียว ส่วนผู้ที่เพิ่งมาจับ ซึ่งเมื่อกลับไปบ้านยังไปฝึกฝนต่อ ก็ปรากฏว่าสามารถไล่ทันมือเก่าได้เลย".

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา


9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมา กล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)

2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะ ทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ

3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้ เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ

4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)

6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กิน แล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือ ไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง

8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ

9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


คณะนักวิจัยม.ชื่อดังของแคนนาดา พบว่า อาการปวดๆ หายๆ ที่ขา เมื่อตอนเดิน เป็นเครื่องบอกถึงอาการโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์อัมพาตจากหลอดเลือดอุดตัน...

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอัลเบอตา ในนครเอดมอนตัน ประเทศแคนาดาพบว่า อาการปวดๆ หายๆ ที่ขา เมื่อตอนเดิน เป็นเครื่องบอกถึงอาการโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวัยถึง 40 ปี จึงควรจะไปทดสอบแบบง่ายๆ เพื่อตรวจดูโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน ศาสตราจารย์วิชาอายุรศาสตร์ อาจารย์รอสส์ ซูยุกิ กล่าวแจ้งว่า การทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคทำกันโดยวัดความดันเลือดที่ขาและที่แขน เอามาเทียบกัน หากความดันเลือดที่ขามีเพียงร้อยละ 90 หรือต่ำกว่าที่แขน แสดงว่าเป็นโรค

โรคนี้เกิดจากหลอดเลือดที่แขนและขาตีบ อันเป็นเครื่องแสดงว่าหลอดเลือดเหล่านี้มีปัญหาเช่นเดียวกับที่หัวใจและสมอง

หลอดเลือดตีบตันเนื่องจากมีคราบหรือลิ่มเลือดจับพอก ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้ อาการของโรคมักจะทำให้เกิดตะคริวจับ เมื่อตอนวิ่งหรือออกกำลัง หรือไม่ก็เกิดชาที่ขาทั้งคู่ และเป็นแผลที่รักษาไม่หาย หมอรอสส์กล่าวว่า อาการปวดของผู้ป่วยนี้ มักจะเอาไปเทียบกับการปวดหน้าอกเนื่องจากหัวใจบ่อยๆ ดังนั้น จึงมีผู้เรียกโรคนี้ว่า เป็นอาการปวดเค้นหัวใจ ซึ่งมาเป็นที่ขาก็มี.

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เอ้า...ยิ้มมม べòべ

ประโยชน์ของยิ้ม

ด้านร่างกาย. มีหลักฐานการศึกษาวิจัยหลายเรื่องที่แสดงถึงผลของการยิ้มที่มีต่อสุขภาพร่างกาย คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้นด้วย

ด้านจิตใจ. รอยยิ้มทำให้จิตใจเป็นสุข อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้มองโลกในแง่ดีขึ้น และการยิ้มในสถานการณ์ที่คับขันยังช่วยเพิ่มความกล้าในจิตใจด้วย ทำให้มีพลังที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคมากขึ้น


10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ


1.หลีกเลี่ยง

"การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้าม วิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน-กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่า ไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้

2. ระบาย

"ระบาย" นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง

3.กิน

มีใครจะปฏิเสธบ้างว่า การกินคือวิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน

4.ดื่ม

โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน

5.หัวเราะ

มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)

6.ร้องไห้

การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไง หรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

7.ร้องเพลง

เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป.1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง

8.พักผ่อน

หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน

9.นอนหลับ

เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือสัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน

10.ให้อภัย

ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊ก...พระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือการปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินเจ


ตำนานเทศกาลกินเจ
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มี คนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึง วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่ง ของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้ง นี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ความหมายของ "เจ"
"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึง หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

ความหมายของ "ธงเจ"
อักษร แดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะ เวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ
เมื่อ ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้
  • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

  • งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

  • งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

  • งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน

  • รักษาศีล 5

  • รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่

  • ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

สำหรับ คนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

อาหารเจ
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจาก แหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คน ที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหาร มังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การ กินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบ ต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่าน ไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
  • ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย


  • ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร


  • หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด


  • ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้


  • อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
    ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
    ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ
    อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม


  • กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
    ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมอง เห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ที่สุดของแต่ละราศี‏

12 ราศี : เรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
ทำนายดวงชะตา 12 ราศี เรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
ราศีมังกร 16ม.ค-12ก.พ
ราศีกุมภ์ 13ก.พ-13มี.ค
ราศีมีน 14มี.ค-12เม.ย
ราศีเมษ 13เม.ย-13พ.ค
ราศีพฤษภ 14พ.ค-13มิ.ย
ราศีเมถุน 14มิ..ย-14ก.ค
ราศีกรกฏ 15ก.ค-16สิ.ค
ราศีสิงห์ 17สิ.ค-16ก.ย
ราศีกันย์ 17ก.ย-16ต.ค
ราศีตุลย์ 17ต.ค-15พ.ย
ราศีพิจิก 16พ.ย-15ธ.ค
ราศีธนู 16ธ.ค-15ม.ค
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ราศีที่ขี้เบื่อที่สุด - ราศี เมถุน
ราศที่ ฟอร์มจัดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่อกหักซ้ำซากที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่ขี้เหนียวที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่ฮึดที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่ขัดแย้งกับตัวเองที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่หาเงินง่าย แต่จ่ายแหลกที่สุด - ราศี มีน
ราศีที่ครบเครื่องเรื่องกิเลสตัณหาที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่หัวโบราณที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่เจ้าชู้เงียบที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่มีชุดชั้นในหรือกางเกงในเซ็กซี่ที่สุด - ราศี พิจิก
ราศีที่กล้าลองสิ่งแปลกใหม่ที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่ขี้น้อยใจที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่เจ้าชู้โฉ่งฉ่างที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่ทือมะลือที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่เป็นคนเจ้าน้ำตาที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่จู้จี้ จุกจิกที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่จอมบงการที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่หูเบาที่สุด - ราศี มีน
ราศีที่ขี้งอนที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่ระเบียบจัดที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่มีลางสังหรณ์แม่นที่สุด - ราศี กุมภ์
ราศีที่มีรักไฟแลบที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่เจ้าชู้ งุบงิบที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่เลือดร้อนที่สุด - ราศี กุมภ์
ราศีที่โก๊ะที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่มากรักหลายใจที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่รักเดียวใจเดียวที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่รักนะแต่ไม่แสดงออกที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่กะล่อนที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่เก็บกดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่เจ้าเลห์ เพห์ทุบายที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่หัวใจเจ็บแล้วไม่จำที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่รักจริง เกลียดแรงที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่มีรักแท้ ดูแลดีที่สุด - ราศี เมถุน
ราศีที่รักนะ แต่ฟอร์มจัดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่เอาแต่ใจที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่จับจดที่สุด - ราศี เมถุน
ราศีที่เผด็จการที่สุด - ราศี กันย์