++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไวอากร้าของผู้หญิง ค้นคว้าหายารักษาโรคซึมเศร้ากลับได้

อาจารย์ ม.นอร์ธ แคโรไลนา เผยว่า ไวอากร้าของผู้หญิง เป็นยาแก้โรคซึมเศร้าอย่างเลว ได้นอกเหนื่อไปจากใช้เพื่อ แก้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศของมนุษย์...ยาแก้โรคซึมเศร้าขนานใหม่ ซึ่งไม่ผ่านการทดลองพ้นถึง 3 ครั้ง กลับมาสร้างความฮือฮาขึ้นอีกได้ เมื่อถูกพบว่าที่แท้มันคือยา "ไวอากร้าของผู้หญิง" ซึ่งนับเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ แบบเดียวกับยาไวอากร้าขนานของผู้ชายศาสตราจารย์จอห์น ทอร์ป หัวหน้าคณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา เล่าในที่ประชุมการแพทย์แห่งยุโรปว่า "มันเป็นยาแก้โรคซึมเศร้าอย่างเลว แต่ผู้สังเกตการณ์ตาแหลม พบในการทดลองในห้องปฏิบัติการว่า มันใช้แก้โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศของมนุษย์และสัตว์ได้ ต่อมาถึงได้ทดลองตามสถานพยาบาลแห่งต่างๆ ทั้งที่อเมริกา แคนาดาและยุโรป กับผู้หญิง 2,000 คน"เขาบอกต่อไปว่า ผู้หญิงที่หมดความรู้สึกในเรื่องเพศ ที่ให้กินยานี้ทุกวัน มีอาการดีขึ้นอย่างชัดแจ้งและเป็นที่น่าพอใจอย่างไรก็ดี ยังมีแพทย์บางคนยังสงสัยว่า สตรีทั่วไปจำเป็นที่จะใช้ยาแบบนี้หรือไม่ เพราะหลายคนเห็นว่า การขาดความรู้สึกอยากได้ใคร่ดีเรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดา.

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กิน"ไข่"แค่ไหนถึงจะพอดี


ไข่ฟองกลมๆจะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่ เรามีคําตอบมาให้แล้ว

การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาทนอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง


"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย


ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน


ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต
ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัย เสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

50 คำคมดีๆ

1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย

2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้

4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้

5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ

6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง

7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย

8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น

10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ

11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต

12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ

13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม

14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล

15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป

16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง

17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต

18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก

19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง

20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด ต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด

21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด

22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง

23.ฝันได้แต่อย่าหวัง

24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง

25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด

26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด

27.พระเจ้าไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา

28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต

29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต

30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ

31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง

32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร

33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง

34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี

35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง

36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น

37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้

39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้

40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ

41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง

42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน

43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้

44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ

45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน

46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน

47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี

49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ

50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย

แฟชั่นถุงน่องสีสดใส



ช่วงนี้ อากาศเริ่มเย็นๆ สบายๆ ได้เวลาสาวๆ สนุกกับการเลือกหา ถุงน่อง แฟชั่น น่ารักๆ มาใส่กันได้แล้วค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่า โหย... อากาศบ้านเราร้อนออกอย่างนี้ แล้วจะมาใส่ถุงน่องเดินน่ะเหรอ คงพิลึกน่าดู



หลายๆ คนอาจจะคิดว่า แฟชั่น ถุงน่อง นั้น เหมาะสำหรับสาวๆ เมืองหนาวเท่านั้น women.mthai ขอบอกค่ะ ว่าสาวๆ สามารถใส่เดินได้สบายๆ ในบ้านเรา ก็ลองคิดดูสิคะ เราใส่กางเกงขายาวกันเป็นปกติ แล้วจะไปต่างอะไรกับถุงน่อง บางคนใส่กางเกงยีนส์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าใส่ถุงน่องแล้วร้อน ก็หมดสิทธิ์ที่จะเถียงค่ะ


คำเตือน : สาวๆ อาจจะต้องดูสถานที่และโอกาสนิดนึง ว่าที่ที่ไปนั้น เหมาะสมรึเปล่า ถ้าใส่ไปออกงาน หรือ ไปเดินช้อปปิ้งตามห้างก็อาจจะโอเคvอยู่ แต่ถ้าใส่ไปเดินริมถนน อาจจะกลายเป็นตัวประหลาดได้นะคะ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เน็ตบำรุงสมอง ช่วยป้องกันสติปัญญาเสื่อมลงตามวัย

นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พบว่า การเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นหนทางช่วยป้องกันผู้สูงอายุ ไม่ให้สติปัญญาเสื่อมถอยลงไปได้ทางหนึ่ง..

ศาสตราจารย์ ดร.แกรี สมอลล์ อาจารย์ของสถาบันประสาทวิทยาซีเมล มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่สหรัฐฯกล่าวบอกว่า "เราสามารถจะสอนผู้สูงอายุ ให้รู้จักลูกเล่นของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะเคยพบมาแล้วว่า แม้แต่ผู้ที่ไม่สู้คุ้นเคยมาก่อน ชั่วฝึกเพียงแค่อาทิตย์เดียว ก็ปรากฏว่าบริเวณสมองมีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ อันเป็นสมองส่วนความคิด มีความคึกคักขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งมันก็มีเหตุผล เพราะเมื่อเรา กำลังค้นหาทางออนไลน์อยู่นั้น จำเป็นจะต้องใช้การตัดสินใจเป็นอันมาก"

บรรดาผู้เชี่ยวชาญปัจจุบัน พากันหันมายึดหลักว่า "สติปัญญาของคนเรานั้น ถ้าหากไม่ใช้มัน ก็จะสูญมันไปเสียเลย"

ดร. แกรีกับคณะได้ศึกษากับผู้สูงอายุวัยระหว่าง 55-78 ปี ที่ยังมีสติสัมปชัญญะปกติ ให้หันมาท่องเน็ต ในขณะที่ได้ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมองไปด้วย วันละ 1 ชม. ติดกัน 7 วัน และปรากฏผลลัพธ์ว่า "โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่เคยจับมาบ้างแล้ว สมองของพวกเขาได้แสดงให้เห็นว่ามีความเคลื่อนไหว ขึ้นขนาดมากทีเดียว ส่วนผู้ที่เพิ่งมาจับ ซึ่งเมื่อกลับไปบ้านยังไปฝึกฝนต่อ ก็ปรากฏว่าสามารถไล่ทันมือเก่าได้เลย".

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธีเด็ด แก้หลับเวลากวดวิชา


9 วิธี “ทำอย่างไร...ถึงจะไม่หลับคาโต๊ะกวดวิชา”

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมา กล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)

2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะ ทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ

3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้ เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ

4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)

6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กิน แล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือ ไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง

8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ

9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


คณะนักวิจัยม.ชื่อดังของแคนนาดา พบว่า อาการปวดๆ หายๆ ที่ขา เมื่อตอนเดิน เป็นเครื่องบอกถึงอาการโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์อัมพาตจากหลอดเลือดอุดตัน...

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอัลเบอตา ในนครเอดมอนตัน ประเทศแคนาดาพบว่า อาการปวดๆ หายๆ ที่ขา เมื่อตอนเดิน เป็นเครื่องบอกถึงอาการโรคหัวใจและโรคอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวัยถึง 40 ปี จึงควรจะไปทดสอบแบบง่ายๆ เพื่อตรวจดูโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน ศาสตราจารย์วิชาอายุรศาสตร์ อาจารย์รอสส์ ซูยุกิ กล่าวแจ้งว่า การทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคทำกันโดยวัดความดันเลือดที่ขาและที่แขน เอามาเทียบกัน หากความดันเลือดที่ขามีเพียงร้อยละ 90 หรือต่ำกว่าที่แขน แสดงว่าเป็นโรค

โรคนี้เกิดจากหลอดเลือดที่แขนและขาตีบ อันเป็นเครื่องแสดงว่าหลอดเลือดเหล่านี้มีปัญหาเช่นเดียวกับที่หัวใจและสมอง

หลอดเลือดตีบตันเนื่องจากมีคราบหรือลิ่มเลือดจับพอก ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้ อาการของโรคมักจะทำให้เกิดตะคริวจับ เมื่อตอนวิ่งหรือออกกำลัง หรือไม่ก็เกิดชาที่ขาทั้งคู่ และเป็นแผลที่รักษาไม่หาย หมอรอสส์กล่าวว่า อาการปวดของผู้ป่วยนี้ มักจะเอาไปเทียบกับการปวดหน้าอกเนื่องจากหัวใจบ่อยๆ ดังนั้น จึงมีผู้เรียกโรคนี้ว่า เป็นอาการปวดเค้นหัวใจ ซึ่งมาเป็นที่ขาก็มี.