++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ถั่วแดงรักษามดลูก บำรุงช่องคลอด


วันนี้มีประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง ความเย็นสะสมอยู่รอบ ๆ สะดือ รังไข่ และมดลูก วิธีเยียวยาอาการดังกล่าวนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงนำถั่วแดง 500 กรัม บรรจุใส่ลงในถุงผ้าแล้วมัดปากถุงด้วยเชือกปอ ก่อนนำไปอบในไมโครเวฟระดับความร้อนปานกลางนาน 3-4 นาที ก่อนนำถุงถั่วแดงไปประคบบริเวณท้องน้อย ให้คุณผู้หญิงใช้มือลูบไล้เบา ๆ ที่ผิวหนังซึ่งตรงกับรังไข่แล้วจึงประคบด้วยถุงถั่วแดง ก็จะสามารถบรรเทาอาการเลือดคั่ง ลดบวม และบรรเทาอาการอักเสบได้สำหรับอาหารที่มีประโยชน์ช่วยรักษาอาการช่องคลอดอักเสบนั้น มีทั้งกระเทียมและกะหล่ำปลี มีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อโรคร้าย ส่วนหอมใหญ่กับผักกาดจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ขณะที่ผักกาดเกาหลีนั้นช่วยจัดการซ่อมแซมเยื่อบุผิว


ส้มและมะเขือเทศเป็นตัวเสริมวิตามิน แถมยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์และชะลอความแก่ ผักดองและผงชูรสจะช่วยขจัดเชื้อยีสต์ที่ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะและในทางตรงกันข้าม อาหารที่คุณผู้หญิงช่องคลอดอักเสบควรหลีกเลี่ยงนั้นคือ อาหารที่แปรรูปมาจากข้าวสาลี ขนมปัง เบียร์ ผลิตภัณฑ์จากนม ไอศกรีม มิลค์เชค และเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้อาการอักเสบทวีความรุนแรงขึ้น.

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ การผ่าแตงโมให้เอาเม็ดออกง่าย







ภัยไอพอด

ภัยไอพอด วัยรุ่น 70% หูตึง! เสียบหูฟังตลอด เปิดเสียงดังเกิน อายุ 5 ขวบ ระวัง อาจกระทบสมอง
สาธารณสุขเตือนภัยวัยรุ่นที่ฮิตใช้หูฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ไอพอด เร่งเสียงดัง หนัก สะใจ ได้อารมณ์ เสี่ยงอันตรายหูตึง-หูหนวกถาวร ชี้รักษาไม่หาย อาจทำให้การพูดคุยสื่อสารเพี้ยนไป แนะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเลี่ยงใช้ อาจส่งผล พัฒนาการสมองช้าลง ผงะน.ร. ม.ต้น-ม.ปลาย ร้อยละ 70 มีอาการหูตึงเพราะฟังเพลงดัง เสนอหน่วยงานเกี่ยวข้องออกกฎหมายควบ คุมระดับเสียงมาตรฐานของหูฟังที่ปลอดภัย
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เครื่องเล่นเพลงดิจิตอลพกพา อาทิ เครื่องเอ็มพี 3 ไอพอด กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นทั่วโลก เพราะมีความเป็นโลกส่วนตัว พกพาสะดวกเพราะใช้หูฟังขนาดเล็ก ขณะนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาต่อสุขภาพของผู้ฟังเครื่องดังกล่าว เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภคสหภาพยุโรปได้ประกาศเตือนภัย โดยผลการสำรวจพบว่าระบบการได้ยินของวัยรุ่นยุโรปมากกว่า 10 ล้านคนกำลังอยู่ในอันตรายจากการใช้หูฟัง เพราะฟังเพลงจากเครื่องเล่นดิจิตอลในระดับเสียงที่ดังเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีอาการหูอื้อและหูตึง โดยผู้ใช้เอ็มพี 3 ร้อยละ 5-10 ทั่วโลกกำลังมีความเสี่ยง ซึ่งน่าห่วงมาก
น.พ.ไพจิตร์กล่าวว่า ในส่วนของไทยขณะนี้พบว่าวัยรุ่นจำนวนมากนิยมฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 เครื่องไอพอด รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือที่คัดลอกเพลงจากอินเตอร์เน็ตเป็นร้อยๆ จนถึงพันเพลง ซึ่งผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2551 พบประชาชนอายุ 6 ปีขึ้นไปทั่วประเทศใช้โทรศัพท์มือถือ 32 ล้านคน หรือร้อยละ 53 เพิ่มจากปี 2547 ซึ่งมีผู้ใช้ประมาณ 17 ล้านคน การใช้หูฟังเพลงหากฟังเสียงดังปกติทั่วไปคือไม่เกิน 80 เดซิเบล จะไม่เกิดปัญหาต่อระบบประสาทในหู
"แต่หากฟังดังเกินกว่านี้จะเกิดปัญหาหูตึง หูหนวก เพราะลำโพงเสียงจ่อติดที่รูหู ซึ่งวัยรุ่นมีความเสี่ยงเนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมฟังเพลงประเภทที่มีจังหวะเร็ว เสียงเบสดังกระแทกหนักๆ และมักฟังเสียงดัง เพื่อความสะใจ ได้อารมณ์ และเมื่อหูตึงแล้วจะเกิดปัญหาการสื่อสาร หากไม่เร่งแก้ ไขตั้งแต่ตอนนี้คาดว่าในอนาคตสมรรถนะการเรียนและการทำงานของเยาวชนอาจมีปัญหา สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรือสื่อสารเพี้ยนไป ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
ส่วนน.พ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กล่าวเรื่องเดียวกันว่า โดยปกติหูมีหน้าที่ในการได้ยิน และการทรงตัวของร่างกาย หูสามารถทนรับฟังเสียงได้ไม่เกิน 90 เดซิเบลเท่านั้น โดยหูฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ไอพอด โทร ศัพท์มือถือที่ใช้ในขณะนี้ ยังไม่มีการควบ คุมมาตรฐานความดังเสียงที่ปลอดภัย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรรับฟังในระดับความดังไม่เกิน 80 เดซิเบล หูฟังที่มีจำหน่าย ในท้องตลาดขณะนี้มี 3 ประเภท คือ แบบแยงเข้าไปในรูหู (In-Ear หรือ Ear-Plug) แบบแปะหรือสวมแนบพอดีหู และแบบครอบที่ใบหู
น.พ.สมเกียรติกล่าวว่า แต่ที่วัยรุ่นนิยมมากที่สุดเป็นแบบแยงเข้าไปในรูหูเพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก แยกแยะเสียงดนตรีได้ชัดเจน หาซื้อง่ายตามแผงลอย ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 30 บาทขึ้นไป การฟังเพลงจากหูฟังชนิดนี้เสี่ยงอันตรายสูงกว่าหูฟังประเภทอื่น เนื่อง จากตัวลำโพงหูฟังจะอยู่ใกล้กับประสาทรับเสียงในหูมากที่สุด โดยเพลงที่วัยรุ่นนิยมฟังจะมีหลากหลายแนว เช่น ป๊อป ร็อก ฮิพ ฮอพ แร็พ พังก์ เป็นต้น เป็นเพลงประเภทที่มีจังหวะแรง เร็ว เสียงเบสกระแทกหู หากฟังเสียงดังเกินไปจะมีผลต่อระบบประสาทการได้ยิน
"การฟังเพลงที่มีความดังเกิน 80 เดซิเบลเป็นเวลานานจะเป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทรับสัญญาณในหู ทำให้เสื่อมลงไปเรื่อยๆ จนเกิดอาการหูตึง ต้องฟังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้" น.พ.สมเกียรติกล่าวว่า ผลสำรวจวัยรุ่นไทยในระดับมัธยมตอนต้นและมัธยมตอนปลายในกทม. พบว่าหูตึงสูงถึงร้อยละ 70 การฟังเพลงจากหูฟังหากเปิดเสียงดังไม่ควรฟังนานเกินครึ่งชั่วโมง เพราะเสียงอาจดังมากเกินไป เช่น อาจดังกว่า 110 เดซิเบล จะทำให้เกิดภาวะหูตึงแบบถาวร การฟังที่เป็นอันตรายต่อหูมากที่สุดคือ การเสียบหูฟังตลอดเวลา ไม่เว้นแม้เวลาหลับ จะเป็นตัวเร่งทำให้หูตึงเร็วขึ้น เนื่องจากแก้วหูจะทำงานตลอดเวลา และจะมีผลหลังจากตื่นนอน จะทำให้อารมณ์หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ส่งผลให้เป็นคนอารมณ์ร้ายถึงก้าวร้าว เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง อาการหูตึงจะเกิดทั้งสองข้างพร้อมกัน หากขับขี่รถจะเกิดปัญหาจราจร เพราะไม่ได้ยินเสียงแตรรถ
น.พ.สมเกียรติกล่าวว่า ในส่วนของเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ หากฟังเพลงจากหูฟังและเปิดเสียงดังเกินไป นอกจากจะทำให้ประสาทหูเสื่อมจนหูหนวกแล้ว ยังทำให้พัฒนาการของสมองในด้านการเรียนรู้ของเด็กลดลงอีกด้วย เนื่องจากเซลล์ประสาทรับคลื่นเสียงของเด็กอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ มีความไวต่อการเสื่อมจากเสียงดังมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้การได้ยินต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กทั่วๆ ไปในวัยเดียวกัน และจะมีผลไปถึงการพูดของเด็กด้วย เพราะการได้ยินกับการพูดจะสัมพันธ์กัน หากการได้ยินไม่ดีการพูดก็จะไม่ดีด้วย อาจเกิดปัญหาในการเรียนต่อไป อาจเรียนไม่รู้เรื่อง เรียนตามเพื่อนไม่ทัน หรืออาจต้องพึ่งเครื่องช่วยฟังเสียงตั้งแต่วัยเด็ก ความสามารถในการทำงานลดลงเมื่อเติบโตและทำงาน การติดต่อประสานงานเพี้ยนไป
น.พ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า ขณะนี้ต่างประเทศมีการควบคุมมาตรฐานความดังหูฟังแล้ว และใช้วิธีการแก้ไขเป็นรายๆ ไป หากมีคนที่หูตึงจากการฟังเพลงจากหูฟังก็สามารถ ฟ้องเอาผิดบริษัทที่ผลิตตามกฎหมายได้ ทั้ง นี้ อาการหูเสื่อมจะมี 2 แบบ คือแบบชั่ว คราว เป็นอาการที่ยังสามารถรักษาหายได้ โดยให้พักฟังเสียง 8-10 ชั่วโมง อาการก็จะดีขึ้น และแบบถาวรเป็นแล้วไม่มียารักษาให้หายได้ อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด แต่ไม่รับ รองว่าจะหายเป็นปกติหรือไม่ สำหรับวิธีการในการสังเกตง่ายๆ ว่าสถานที่นั้นมีเสียงดังเกิน 80 เดซิเบลหรือไม่ สังเกตได้จากเมื่อยืนห่างกันระยะหนึ่งเมตรแทนที่จะพูดกันได้ยินแต่ต้องตะโกนใส่กันจึงจะได้ยิน
ที่มาจาก : ข่าวสด
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
----------------------------------------------------------------------------------------------------------


เสียบหูฟัง…ระวังประสาทหูเสื่อม*ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเสริมสุขภาพออกมาเผยว่า ขณะนี้ความเสี่ยงต่อภาวะพิการทางหู ซึ่งมีสาเหตุจากพฤติกรรมการฟังเพลงผ่านหูฟังของเครื่องเล่นเอ็มพี 3 หรือไอพอดมีสูงขึ้น โดยเฉพาะในรายที่เปิดเสียงดังหรือฟังติดต่อกันนานๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการที่ประสาทหูจะเสื่อมหรือรับรู้ได้น้อยลง*ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ในกลุ่มคนที่นิยมความทันสมัย วิ่งตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ทุกฝีก้าว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ชาย หญิง หรือเพศที่สาม จากการสำรวจในเมืองไทยพบว่า ทุกวันนี้มีผู้พิการทางหูเพิ่มขึ้นวันละ 35 คน รวมๆ กันแล้วถึงตอนนี้มีผู้ที่มีอาการประสาทหูเสื่อมประมาณ 2 ล้านคนทั่วประเทศ
*ตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจ ทำให้ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย ออกมาเผยว่า ขณะนี้กำลังศึกษาถึงผลกระทบจากการฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 และไอพอดทุกชนิด ว่าต้องฟังติดต่อกันนานเพียงใด และระดับเสียงดังขนาดไหน ถึงจะมีผลต่อประสาทการได้ยินถึงขั้นเสี่ยงต่อความพิการ
*แต่ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า การเสียบหูฟังนานๆ หรือการที่มีเสียงกระตุ้นประสาทการได้ยินอยู่ตลอดเวลา ทำให้เซลล์ประสาทหูเสื่อมได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ หรือการอยู่ในบริเวณท้องถนนที่มีเสียงดังมากๆ
*ขณะที่หลายๆ ปัจจัยเราไม่สามารถควบคุมให้เสียงค่อยลงได้ ไม่สามารถหยุดเสียงเหล่านั้นลงได้เมื่อต้องการ แต่การฟังเอ็มพี 3 และไอพอด เราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง
*ดังนั้นพึงสำนึกให้ขึ้นใจว่า ฟังน่ะฟังได้ แต่ต้องไม่ดังมากและนานมากติดต่อกัน ขอให้ยึดหลัก “ความพอดี” เป็นที่ตั้ง จะได้เพลิดเพลินเจริญหูได้นานๆ โดยหูไม่ดับหรือประสาทหูเสื่อมไปเสียก่อน

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

Creative Calendar Year 2010

10 อันดับเรื่องไร้สาระ บนอีเมลล์

เหตุผลที่บอกเล่าเรื่องนี้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนเลิกฟอร์เวิดเมลไร้สาระซะที มันน่ารำคาญมาก
ถ้าอยากรู้ว่าไร้สาระยังไงก็อ่านซะ
อันดับ10 - อีเมล์ลูกโซ่ ...ใช่แล้วครับทุกท่าน มันก็คือ จดหมายลูกโซ่ธรรมดานี่แหละ ที่ส่งกันมาส่งแล้วส่งเล่าตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ยังจีบกันด้วยจดหมายรัก จนถึงยุคที่อินเตอร์เน็ตส่งข้อมูล 10 MB ต่อวินาทีได้แล้ว ก็ยังมีจดหมายแบบนี้อยู่บนโลกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แถมเนื้อหาก็ยังลอกมาจากต้น ฉบับอาจารย์วิจิตรธรรมโชติเมื่อ 30 ปี ก่อนยังไงอย่างนั้น ช่างน่าภูมิใจจังที่เราสามารถอนุรักษ์มรดกของชาติได้เยี่ยมขนาดนี้ เนื้อหาก็จะประมาณว่าจดหมายฉบับนี้มีมนต์วิเศษ ส่งต่อ 20 คน จะโชคดี ถ้าไม่ส่งตายแน่ เหมือนอย่างนายสมชายสมหมายทหารอากาศอะไรทั้งหลายแหล่ ที่ตายแล้วตายอีกในหลักฐานอ้างอิงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ถ้าท่านอยากเป็นคนงมงายในยุคอินเตอร์เน็ตก็เชิญส่งต่อนะครับ แต่ถ้าอยากฉลาดขึ้นบ้างก็...ลบทิ้งเสียเถอะ

อันดับ 9 - เจ้าแม่กวนอิมโชคดี + พระพิฆเนศโชคดี ... สมัย นี้เค้าเผยแพร่ความโชคดีบนอินเตอร์เน็ตแล้วครับท่านผู้อ่าน เมล์ประเภทนี้จะมีรูปเจ้าแม่กวนอิมหรือไม่ก็พระพิฆเนศที่ถ่ายมาจากไหนก็ไม่ รู้ รู้แต่มันเหมือนกันทุกฉบับเลย ดูเผินๆ บางคนอาจจะแย้งว่า คนส่งเค้าอยากให้คนได้รับโชคดีไง จะบอกว่าเนื้อหาหลักๆ เหมือนกับอันดับ 10 ไม่มีผิดเพี้ยนครับ แค่เปลี่ยนคำว่าโชคร้ายเป็นโชคดีเท่านั้น แถมยังขู่เหมือนเดิมว่าถ้าไม่ส่ง ซวยแน่ กร๊ากๆๆๆ บางเวอร์ชั่นดีหน่อยครับที่ไม่ได้ขู่มาด้วย แต่อยากจะบอกว่าการที่เราเช็คเมล์ แล้วพบเมล์จากเพื่อนๆ 10คน ต่างคนต่างส่งเมล์หัวข้อนี้มาเหมือนกันทุกคน เรียงเป็นตับในเมล์บ็อกซ์ของเรามันน่ารำคาญโว้ยยยยย

อันดับ 8 - ลูกผมป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ... อันดับนี้จะว่าดีก็ดี จะว่าร้ายก็ร้าย คือดูเผินๆ แล้วผู้ส่งต้องการความช่วยเหลือแน่ๆ จึงมาโพสท์แบบนี้ บวกหน้าตาที่อยู่พร้อม แต่จะบอกว่าเมล์แบบนี้ ห้าปีผ่านไปก็ยังฟอร์เวิร์ดกันให้เกลื่อน คือ ถ้าลูกคุณป่วยเป็นมะเร็งและต้องการความช่วยเหลือด่วน แต่ยังรอคนใจดีอยู่ได้ตั้ง 5 ปีแบบนี้ ขอ คาดการณ์ว่าร่างกายคงมีภูมิต้านทานดีขนาดหนักแล้วครับ ไม่ก็ตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องฟอร์เวิร์ดต่อหรอก เพราะมีกรณีนึงที่มีคนลองติดต่อไปแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง แต่ทางต้นสายบอกว่าเป็นเรื่องเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผลร้ายจากความใจดีของพวกเรานั่นเองที่เห็น แล้วสงสาร ฟอร์เวิร์ดไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอใครที่ใจบุญกว่า แต่บอกตามตรง เท่าที่เคยประสบมา คนฟอร์เวิร์ดจะไม่ให้ความช่วยเหลือ ส่วนคนช่วยเหลือจะไม่ฟอร์เวิร์ด ฮ่วย! ถึง ผู้ใดก็ตามที่ประสบปัญหาแนวๆ นี้ ขอแนะนำว่าอย่าส่งทางเมล์เลยครับ เพราะเมื่อมันเผยแพร่ในโลกไซเบอร์แล้ว มันค้างนาน และมันจะกระจายเป็นวงกว้างซึ่งไม่มีทางยับยั้งได้ แม้ คุณจะได้รับการช่วยเหลือแล้วคุณก็ยังอาจจะได้รับการติดต่อมาอีกต่อไปเป็น ปีๆ ทางที่ดีไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรืออะไรทำนองนั้นดีกว่านะ

อันดับ 7 - ไม่ส่งต่อ ไม่มีแฟน ... ไม่ รู้ว่าคนเราสมัยนี้กลัวการไม่มีแฟนมาก หรือไม่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือการจีบของตัวเอง จึงส่งกันเป็นว่าเล่น เมล์ประเภทนี้จะขึ้นต้นด้วยข้อความดีๆ ภาพน่ารักๆ แต่ลงท้ายด้วยข้อความประมาณว่า ส่ง 1-5 คน จะโชคดีเล็กๆน้อย ส่ง 6-15 คน จะเจอเนื้อคู่ ส่ง 16-30 คน เนื้อคู่จะโทรมาหาใน 10 นาที (ดูมัน ยังกะโฆษณาทีวีไดเรคต์) และ ถ้าไม่ส่ง โสดตลอดชาติ ประมาณนี้เป็นต้น สังเกตว่ามีระดับความโชคดีให้เลือกด้วย ใครคิดว่าตัวเองโชคดีอยู่แล้วก็ส่งน้อยๆ ใครคิดว่าดวงซวยก็ส่งเยอะๆ อืม...เหมือนชิงโชคเลยเนอะ แต่รู้สึกส่งชิงโชครายการคุณปัญญาจะมีโอกาสมากกว่าซะอีกนะ อยากบอกว่า..แฟนถ้าจะมีมันก็คงจะมีเองแหละ ไม่เกี่ยวกับโชคลางบนเน็ตซะหน่อย

อันดับ 6 - กินชาเขียวเย็นเป็นอันตราย ... เมล์ประเภทนี้มีมาเป็นระยะๆ ตามแต่ว่าอะไรที่ฮิตในช่วงนั้น ช่วงแรกมันเป็นโค้ก กินโค้กแล้วอันตราย เอาตะปูแช่โค้ก 1 วัน ตะปูละลาย ต่อ มาก็เป็นชาเขียวเย็น กินแล้วไขมันจับ เพราะมันเย็น พิสูจน์ได้ด้วยการเทชาเขียวเย็นลงในชามก๋วยเตี๋ยว แล้วจะเห็นไขมันจับเป็นก้อน ปัดโธ่ เทอะไรเย็นๆ ลงน้ำซุป มันก็จับหมดแหละคุณ (ไม่เชื่อไปลองดูได้) หรือไม่ต้องเทน้ำอะไรหรอก เอาก๋วยเตี๋ยวไปแช่เย็น สักพักมันก็จับไขแล้ว เมล์แบบนี้จะใช้ข้อความเหมือนยกข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาอ้าง ซึ่งถ้าใครฉลาดๆ หน่อยก็จะจับผิดได้ว่ามันไม่เป็นจริง ส่วนใครโง่ๆ ก็...ฟอร์เวิร์ดต่อปายยย (ล่าสุดนี่รู้สึกจะเป็นโรตีบอยแล้วนะ มันอินเทรนด์ดีโว้ยคนเขียนเมล์แบบนี้)

อันดับ 5 - จุดจบประเทศไทย ... เขียน โดย นิติภูมิ เนาวรัตน์ ชายหนุ่มผู้มองเห็นประเทศอื่นดีกว่าเราในทุกด้าน ส่วนเมืองไทยนั้นกระจอก คอรัปชั่น เฮงซวย ล่มสลายแน่ๆ ถ้าไม่เชื่อกรู ไม่รู้มันเกิดมาเป็นคนไทยทำไมเหมือนกัน เมล์ชนิดนี้เนื้อหาเหมือนต้นฉบับเพราะลอกมา เนื้อหาจะเกี่ยวกับประเทศไทยในปี 2550 ที่จะถูกน้ำท่วม ภัยพิบัติ ฯลฯ สุดท้ายก็จะกลายเป็นเหมือนอาร์เจนติน่า ฯลฯ ดีเหมือนกันวงการฟุตบอลบ้านเราจะได้ไปบอลโลกซะที เมล์ แบบนี้จริงๆ ก็จัดว่ามีประโยชน์ เสียแต่ว่ามันทำให้เกิดความแตกแยกได้ง่าย หากผู้อ่านไม่มีวิจารณญาณ จริงๆ คือพวกเราได้แต่อ่านแล้วก็ส่ง ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเกลียดคนที่ถูกอ้างถึงในเมล์ โดยไม่มีหลักฐานอย่างอื่นประกอบการตัดสินใจเลย อีกอย่างคือ เมล์แบบเนี้ยไม่ต้องส่งหรอก ถ้าในปี 2550 มันจะ เป็นอย่างที่อ้างจริงๆ ผู้เขียนเค้าก็มีหลักฐานการเขียนของเค้าอยู่แล้วแหละ ไม่ต้องส่งต่อเพียงเพื่อประกาศให้รู้ว่ากรูเก่งหรอก มันน่ารำคาญรู้มั้ย เพราะว่ามีเมล์เนื้อหานี้ในเมล์บ็อกซ์เกือบร้อยฉบับแล้ว

อันดับ 4 - ฟอร์เวิร์ดไป 18 คนแล้วกด Alt+F8 ... ไม่รู้ว่ามีที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะโปรแกรมอีเมล์เมื่อสมัยสิบปีก่อนมีฟังก์ชั่น Atl+F8 ก็ ได้ ปัจจุบันมันไม่มีใช้แล้ว แต่เมล์แบบนี้ก็อาศัยความอยากรู้ของผู้ส่ง มาทำให้มันถูกฟอร์เวิร์ดมาเรื่อยๆ นับสิบปีแล้ว (พูดตรงๆ ก็คือผมได้เมล์แบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเล่นเน็ตเมื่อปี 2543 จน บัดนี้ก็ยังได้รับอยู่) เนื้อหาก็จะเป็นว่า มียายแกไปซื้ออาหารหมา อาหารแมว สุดท้ายก็ให้คนขายล้วงไปในกล่อง ถ้าอยากรู้ว่าในกล่องมีอะไร ให้ฟอร์เวิร์ดไป 18 คน แล้วกด Atl+F8 หรืออะไรทำนองนี้ ก็จะพบคำตอบ บางเมล์เล่นง่ายกว่านั้น ไม่ต้องอารัมภบทมาก มาถึงก็บอกให้ส่งเลย แล้วกดดูจะพบว่ามีอะไรเปลี่ยนไป ไม่ต้องส่งต่อนะครับ ขอร้อง เพราะตั้งแต่มันถูกส่งมาในโลกนี้ ยังไม่เคยมีใครสักคนรู้เลยว่ากด Atl+F8 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ...จริงๆ อาจจะพบก็ได้ ...พบว่าตัวเอง>>โง่<<นั่นเอง

อันดับ 3 - รูปถ่ายวิญญาณ ชายผู้ล่วงลับ ... เมล์ แบบนี้เอาความน่ากลัวเข้าว่า เริ่มจากบอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ไปเที่ยวป่า แล้วถ่ายรูปติดวิญญาณมา สองสามวันถัดมาเขาก็ตาย หากใครไม่อยากตาย ให้ส่งต่อ 10 คน มิฉะนั้นวิญญาณในรูปจะตามไปที่บ้าน ตบท้ายด้วยรูปถ่ายวิญญาณที่น่ากลัวก็จริง แต่รู้ว่าตัดต่อ เพราะไอ้ผีในรูปนั้น ไปเสิร์ชเวบผีเวบไหนมันก็มี (ใครไม่มี เชยมาก) เป็นรูปต้นแบบที่ถูกนำมาใช้ตัดต่อบ่อยที่สุด

อันดับ 2 - ยายมาหา ... อัน นี้ยังเล่นกับความน่ากลัวไม่เลิก ด้วยการให้เด็กชายคนหนึ่ง เล่าเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับยายตัวเองจะมาเอาชีวิต แกเลยหาทางรอดด้วยการบอกว่าให้ไปเอาชีวิตคนอ่านเมล์นี้แทน ฉลาดมากหนุ่มน้อย ไม่ยักรู้ว่ายายเอ็งเล่นเน็ตเป็นด้วย เมล์นี้ยอมรับว่าน่ากลัวจริง แต่ก็ได้มาจนหายกลัวไปแล้ว ถ้ายายอยากได้วิญญาณจริง ไปหาวิญญาณเป็ดไก่ตามตลาดสดจะเจอเยอะกว่านะยายจ๋า วันนึงเป็นร้อยตัวเลย

อันดับ1 - ฮ็อตเมล์เก็บตัง ... มาแล้วครับ กับอันดับยอดฮิตที่สุดบนโลกมนุษย์ เมล์นี้มีเนื้อหาบอกว่า ทางฮ็อตเมล์จะทำการเก็บเงินผู้ใช้เมลล์ @hotmail โดยผู้ส่งเมล์จะให้พวกเราช่วยกันฟอร์เวิร์ดไปเยอะๆ เค้าจะได้สงสาร และยกเลิกการเก็บตัง เมลล์ แบบนี้ก็ได้มาตั้งแต่เล่นเน็ตสมัยแรกๆ แล้วถ้ามันเป็นจริง ก็นับว่าฮ็อตเมล์ใจดีมาก จะเก็บตังมาตั้งหลายปีแล้ว ก็ไม่เก็บสักทีเพราะมีคนฟอร์เวิร์ดเยอะ ว่าแต่มันจะรู้ได้ไงวะว่ามีคนฟอร์เวิร์ดน่ะหืม? แรกๆ มันเป็นแค่ข้อความ ต่อมานี้ลงทุนทำแบนเนอร์ปลอมที่มีสัญลักษณ์ฮ็อตเมล์ให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น ล่าสุดนี่สงสัยรู้ตัวว่าไม่ได้ผล เลยใส่เพิ่มลงไปในหัวข้อด้วยว่า คราวนี้เอาจริงแล้ว ฮ็อตเมล์จะเก็บตังเราแล้วล่ะ! (มีการขู่ 555)

เคย ลองทำเมล์ปลอมแบบนี้เหมือนกัน เพื่อให้เลิกส่งเมล์สไตล์นี้ โดยการใช้เนื้อหาว่าฮ็อตเมล์ต้องเสียเงินนับร้อยล้านดอลล่าร์เพิ่อแก้คดีคน เข้าใจผิดว่าเขาจะเก็บตัง และประกาศจะจับตัวผู้ที่ส่งเมล์ที่ทำให้ทางเขาเสียหาย นั่นคือใครฟอร์เวิร์ดเมลล์แบบนั้นอีก จะถูกตามรอยมา ถึงบ้านและถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทกันทุกคน ผลก็คือ FWD mail หัวข้อ ฮ็อตเมล์เก็บตัง ก็ยังคงฮิตไม่เสื่อมคลาย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..คนเรากลัวไม่ได้ใช้ฮ็อตเมลล์ มากกว่ากลัวถูกจับซะอีก 555 ทั้งหมดนี้เขียนขึ้นมาก็เพื่ออยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า เมล์เนื้อหาแบบเนี้ย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากแสดงให้คนรู้วาคุณโง่ เชื่อในเรื่องเหลวไหล และเพิ่มเนื้อที่เมล์ขยะในเมลล์บ็อกซ์ของคนอื่นโดยใช่เหตุ แถมเมล์บางอันก็ยังปลูกฝังความเชื่อผิดๆ ซะอีก (เช่นเมล์ชาเขียวเย็นอันตราย) เป็นการโจมตีคู่แข่งทางการค้าได้โดยไม่ต้องเสียตังอะไรเลย ใช้ประโยชน์จากคนโง่ๆ ที่หลงเชื่อนั่นแหละ เลิกฟอร์เวิร์ดได้แล้ว เชื่อว่าใครที่เล่นเน็ตมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็เคยได้รับเมล์แบบนี้กันหมดแล้วล่ะ มาช่วยกันฟอร์เวิร์ดแต่เมล์เนื้อหาดีๆ มีคุณค่า อ่านแล้วถึงไม่ได้สาระก็ขอให้ได้ความสบายใจหน่อยเถอะนะ

ใส่ใจการ "เคี้ยวอาหาร" กันสักนิด


"เคี้ยวอาหาร" ช้าๆ สุขภาพดี-สมองแข็งแรง
เรื่องเล็กๆ ที่ผู้คนอาจมองข้ามอย่าง "การเคี้ยวอาหาร" กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลดีหลายประการต่อสุขภาพ ถ้าเคี้ยวให้ถูก-เคี้ยวให้เป็น... ไม่ใช่แค่เคี้ยวๆ กลืน!
ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเว็บไซต์ส่งเสริมความรู้วิทยาศาสตร์ "วิชาการดอทคอม" รวบรวมผลการศึกษาทางแพทย์ ซึ่งยืนยันผลดีของการฝึกนิสัยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนลงสู่กระเพาะ
เพราะข้อดีที่เห็นชัดเจนจะช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง
"การเคี้ยวให้ช้าลง" ยังมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน เนื่องจากไปช่วยกระตุ้นให้ "ต่อมน้ำลาย" และ "ต่อมใต้หู" หลั่งฮอร์โมนออกมา นอกจากนั้น ยังช่วยกระตุ้นพลังแห่งการขบคิดและสมาธิ ตรงข้ามกับผู้ที่เคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวเร็วไป สมองก็จะอ่อนแอตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ สุขภาพที่ดีและมีอายุยืนยาว


โดยประโยชน์จากการเคี้ยวอาหารให้ช้าลง จะมีผลต่อดีสมองและร่างกาย ดังนี้


1. เคี้ยวอาหารประมาณ 30 ครั้งในแต่ละมื้อเป็นอย่างน้อย จะช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาอาการอารมณ์หงุดหงิด เครียด และโมโหง่าย


2. เคี้ยว 50 ครั้ง จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่มากเกินความจำเป็นดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย


3. เคี้ยว 60 ครั้ง เหมาะสำหรับการเคี้ยวอาหารที่มีกากใยมากเกินไป ช่วยลดอาการท้องผูก การทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4. เคี้ยว 80 ครั้ง ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น มีความจำดีขึ้น สามารถจดจำและจำแนกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษ ต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว


5. เคี้ยว 100 ครั้ง ทำให้คุณจัดการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สงบ เยือกเย็น กินน้อยลง แต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก อีกทั้งช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ


6. เคี้ยว 150 ครั้ง ระบบการทำงานกระเพาะและลำไส้ดีขึ้น และช่วยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ


7. เคี้ยว 200 ครั้ง ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อ จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้สมองขบคิดกระบวนการคาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น


ฉะนั้น จึงไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กๆ อย่างการเคี้ยวอาหาร เพราะส่งผลดีต่อทั้งสมองและสุขภาพของคนเรา โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรเลย เพียงแค่เสียเวลาเคี้ยวเท่านั้นเอง