++mint_jan++MRB

ยินดีต้อนรับทุกคนที่แวะเข้ามาบล็อกของมิ้นเจนนะค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เอ้า...ยิ้มมม べòべ

ประโยชน์ของยิ้ม

ด้านร่างกาย. มีหลักฐานการศึกษาวิจัยหลายเรื่องที่แสดงถึงผลของการยิ้มที่มีต่อสุขภาพร่างกาย คือ ทำให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นจากอาการเจ็บป่วยเร็วขึ้นด้วย

ด้านจิตใจ. รอยยิ้มทำให้จิตใจเป็นสุข อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้มองโลกในแง่ดีขึ้น และการยิ้มในสถานการณ์ที่คับขันยังช่วยเพิ่มความกล้าในจิตใจด้วย ทำให้มีพลังที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคมากขึ้น


10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ


1.หลีกเลี่ยง

"การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้าม วิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน-กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่า ไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้

2. ระบาย

"ระบาย" นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง

3.กิน

มีใครจะปฏิเสธบ้างว่า การกินคือวิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน

4.ดื่ม

โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน

5.หัวเราะ

มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)

6.ร้องไห้

การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไง หรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

7.ร้องเพลง

เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป.1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง

8.พักผ่อน

หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน

9.นอนหลับ

เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือสัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน

10.ให้อภัย

ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊ก...พระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือการปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินเจ


ตำนานเทศกาลกินเจ
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มี คนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึง วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่ง ของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้ง นี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ความหมายของ "เจ"
"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึง หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

ความหมายของ "ธงเจ"
อักษร แดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะ เวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ
เมื่อ ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้
  • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์

  • งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์

  • งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก

  • งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน

  • รักษาศีล 5

  • รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่

  • ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

สำหรับ คนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

อาหารเจ
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจาก แหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คน ที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหาร มังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การ กินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบ ต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่าน ไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
  • ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย


  • ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร


  • หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด


  • ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้


  • อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
    ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
    ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ
    อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม


  • กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
    ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมอง เห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ที่สุดของแต่ละราศี‏

12 ราศี : เรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
ทำนายดวงชะตา 12 ราศี เรื่องที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน
ราศีมังกร 16ม.ค-12ก.พ
ราศีกุมภ์ 13ก.พ-13มี.ค
ราศีมีน 14มี.ค-12เม.ย
ราศีเมษ 13เม.ย-13พ.ค
ราศีพฤษภ 14พ.ค-13มิ.ย
ราศีเมถุน 14มิ..ย-14ก.ค
ราศีกรกฏ 15ก.ค-16สิ.ค
ราศีสิงห์ 17สิ.ค-16ก.ย
ราศีกันย์ 17ก.ย-16ต.ค
ราศีตุลย์ 17ต.ค-15พ.ย
ราศีพิจิก 16พ.ย-15ธ.ค
ราศีธนู 16ธ.ค-15ม.ค
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ราศีที่ขี้เบื่อที่สุด - ราศี เมถุน
ราศที่ ฟอร์มจัดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่อกหักซ้ำซากที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่ขี้เหนียวที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่ฮึดที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่ขัดแย้งกับตัวเองที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่หาเงินง่าย แต่จ่ายแหลกที่สุด - ราศี มีน
ราศีที่ครบเครื่องเรื่องกิเลสตัณหาที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่หัวโบราณที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่เจ้าชู้เงียบที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่มีชุดชั้นในหรือกางเกงในเซ็กซี่ที่สุด - ราศี พิจิก
ราศีที่กล้าลองสิ่งแปลกใหม่ที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่ขี้น้อยใจที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่เจ้าชู้โฉ่งฉ่างที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่ทือมะลือที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่เป็นคนเจ้าน้ำตาที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่จู้จี้ จุกจิกที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่จอมบงการที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่หูเบาที่สุด - ราศี มีน
ราศีที่ขี้งอนที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่ระเบียบจัดที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่มีลางสังหรณ์แม่นที่สุด - ราศี กุมภ์
ราศีที่มีรักไฟแลบที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่เจ้าชู้ งุบงิบที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่เลือดร้อนที่สุด - ราศี กุมภ์
ราศีที่โก๊ะที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่มากรักหลายใจที่สุด - ราศี ธนู
ราศีที่รักเดียวใจเดียวที่สุด - ราศี เมษ
ราศีที่รักนะแต่ไม่แสดงออกที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่กะล่อนที่สุด - ราศี ตุลย์
ราศีที่เก็บกดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่เจ้าเลห์ เพห์ทุบายที่สุด - ราศี สิงห์
ราศีที่หัวใจเจ็บแล้วไม่จำที่สุด - ราศี กันย์
ราศีที่รักจริง เกลียดแรงที่สุด - ราศี มังกร
ราศีที่มีรักแท้ ดูแลดีที่สุด - ราศี เมถุน
ราศีที่รักนะ แต่ฟอร์มจัดที่สุด - ราศี พฤษภ
ราศีที่เอาแต่ใจที่สุด - ราศี กรกฏ
ราศีที่จับจดที่สุด - ราศี เมถุน
ราศีที่เผด็จการที่สุด - ราศี กันย์

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Thé vert


Un thé vert (en sinogrammes simplifiés 绿茶 ; en sinogrammes traditionnels 綠茶 ; en pinyin lǜchá) est un thé peu oxydé lors de sa fabrication. Ce type de thé est très populaire en Chine et au Japon, où il est réputé avoir les propriétés thérapeutiques les plus efficaces. Il se répand de plus en plus en Occident, où traditionnellement on boit plutôt du thé noir. Il est aussi l'ingrédient de base du thé à la menthe

สารพัดถุงชา แสนน่ารัก





แหล่งเชื้อโรค ใกล้ๆ ตัวเรา

รอบๆ ตัวเรามีแหล่งสะสมเชื้อโรคมากมายที่คนทั่วไปมักจะมองข้าม อะไรบ้าง? นิตยสาร "Healthtoday Thailand" ฉบับเดือนก.ค.รวบรวมไว้ดังนี้

อ่างล้างจาน - เคลลีย์ เรย์โนลด์ส นักจุลชีววิทยาสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยอาริโซนา บอกว่า อ่างล้างจานในห้องครัวสกปรกยิ่งกว่าห้องน้ำ บริเวณท่อน้ำทิ้งมีแบคทีเรียเฉลี่ยถึง 5 แสนตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะฟองน้ำล้างจาน ถ้าไม่ทำความสะอาดหรือตากให้แห้งอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรีย


ห้องน้ำสาธารณะ - จุดสกปรกที่สุดไม่ใช่บริเวณที่รองนั่งอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นสายชำระ ตามด้วยคันโยกกดน้ำและลูกบิดหรือมือจับประตู และการกดชักโครกแต่ละครั้งยังเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคสู่อากาศอีกด้วย


จุดบริการน้ำดื่ม - กรุงเทพมหานครสำรวจล่าสุดพบว่า น้ำดื่มที่กดจากเครื่องทำน้ำเย็นในโรงเรียน มีสารตะกั่วปนเปื้อนเกินมาตรฐาน และที่น่ากังวลคือร่างกายเด็กสามารถดูดซึมสารตะกั่ว (มาจากวัตถุที่ใช้เชื่อมประกอบตู้โลหะ) ได้มากกว่าผู้ใหญ่ประมาณ 40%


ตะกร้าช็อปปิ้ง-เอทีเอ็ม - ถ้าผู้ใช้ก่อนหน้าเราป่วย หูหิ้วหรือที่จับรถเข็นอาจจะเปรอะสารคัดหลั่งพวกน้ำลาย หรือน้ำมูก เช่นเดียวกับตู้เอทีเอ็ม มีนักวิจัยไต้หวันตรวจสอบพบว่า แต่ละปุ่มมีเชื้อโรคเฉลี่ยประมาณ 1,200 ตัว


สนามเด็กเล่น - เด็กย่อมเห็นความสนุกสำคัญกว่าความสะอาด จึงไม่แปลกที่จะพบคราบน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ หรือเลือดปะปนอยู่ตามสนามและเครื่องเล่น เด็กชอบดูดนิ้วและนำของเล่นเข้าปาก จึงเป็นสาเหตุให้ป่วยง่าย


กระเป๋าถือ - ชาร์ลส์ เจอร์บา นักจุลชีววิทยาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอาริโซนา เคยนำตัวอย่างกระเป๋าถือผู้หญิงไปตรวจพบว่า บริเวณก้นกระเป๋ามีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่มากกว่า 1 หมื่นตัว ธนบัตรหรือเหรียญในกระเป๋าซึ่งผ่านมาไม่รู้กี่มือก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี


ฟิตเนส - การออกกำลังกายในห้องปิดสนิท ไม่มีอากาศถ่ายเท เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี


โต๊ะทำงาน - เคยมีการสำรวจสถิติที่น่าตกใจว่า โต๊ะทำงานสกปรกมากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 400 เท่า บนโต๊ะทำงานสิ่งที่สกปรกมากสุดคือโทรศัพท์ รองลงมาคือคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์และเมาส์


ชั่วโมงนี้ ไข้หวัดใหญ่ 2009 กำลังระบาด เพราะฉะนั้นอย่าลืมคำนึงถึงความสะอาดเป็นเบื้องแรก หมั่นล้างมือบ่อยๆ เป็นดีที่สุด

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประโยคเด็ดจากหนังดัง

ชัยชนะมีพ่อแม่เป็นร้อยๆ ความพ่ายแพ้เป็นเพียงลูกกำพร้า
จากเรื่อง Pushing Tin

ที่เราเจ็บปวดกับความรัก ไม่ใช่เพราะมันจากไป แต่เพราะมันยังอยู่ต่างหาก
ถ้าวันนี้คนสองคนต่างหมดรักกันไป คงไม่มีใครต้องเสียใจมากนัก
แต่กลับเป็นเพราะรักที่ยังอยู่ในใจคุณนั่นเอง ที่ทำให้คุณปล่อยวางลงไม่ได้

จากเรื่อง IL Mare


สู้สู้ สู้ตาย!!!!
จากเรื่อง Full House


ตาไม่ต้องเห็น หูไม่ต้องได้ยิน กับสิ่งแวดล้อมดีๆ จิตใจก็สัมผัสได้แต่สิ่งที่ดีๆ
สิ่งไม่ดีก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ ผิดกับผู้มี ผู้ได้เห็นได้ยิน
มาปรุงแต่งจนเป็นเรื่องเป็นราว น่าเศร้าใจ
จากเรื่อง Be With Me


ชีวิตคู่ไม่ได้อยู่ด้วยเหตุผล แต่อยู่ที่การยอมกัน
จากเรื่อง โคตรรักเอ็งเลย


เวลาไม่สำคัญ ชีวิตเท่านั้นที่สำคัญ
จากเรื่อง The Fifth Element


You completed me
จากเรื่อง Jerrry Macquire


เจี๊ยบ..ตัดหนังยางเราทำไม
จากเรื่อง แฟนฉัน


Time wounds all heal เวลารักษาได้ทุกบาดแผล
จากเรื่อง Someone like You


เจ้ารักข้าหรือไม่ ไม่สำคัญ ถ้าข้ารักใคร ข้าไม่ต้องการคำอธิบาย
จากเรื่อง ฟงอวิ๋น


แกมาบอกอะไรตอนนี้
จากเรื่อง เพื่อนสนิท


Love like a chocolate box we don't know what taste inside
จากเรื่อง Forest Gump


คนเรามีสองประเภท คือ คนชอบสนุก กับคนที่ไม่ชอบสนุก
จากเรื่อง Swing Girl


เราไม่อาจอ่านค่าความสูญเสียแล้วเข้าใจ จนกว่าจะได้รู้สึกถึงมันเอง
จากเรื่อง Geisha


รู้มั้ย..บางครั้งวิญญาณก็แค่อยากมาอยู่ใกล้คนที่พวกเค้ารัก
จากเรื่อง ชัตเตอร์


ทำไมคนเราถึงล้ม เพราะล้มแล้วจะได้รู้จักการลุกขึ้น
จากเรื่อง Batman


นายยังต้องไปศึกษาความรักเพิ่มเติม แต่ก่อนอื่นนายต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อใช้เวลาที่เหลือศึกษามัน

จากเรื่อง My Sassy Girl


อยากตายรึไง!!!
จากเรื่อง My Sassy Girl


เมื่อพระอาทิตย์สอดส่องลงบนท้องทะเล....ผมจะคิดถึงคุณ
เมื่อพระจันทร์สาดแสงในฤดูใบไม้ผลิ....ผมจะคิดถึงคุณ

จากเรื่อง The Classic


พรหมลิขิตของปู่ชั้นคือย่าชั้น พรหมลิขิตของพ่อชั้นก็คือแม่ชั้น
และชั้นอยากให้พรหมลิขิตของชั้นเป็นเธอ
จากเรื่อง My Girl and I


คนบางคนไม่เห็นค่าของการมีชีวิตอยู่
จากเรื่อง Saw


ความผิดเขาเท่าภูเขา ความผิดเราเท่าขี้ตา
จากเรื่อง Windstruct


พลังอันยิ่งใหญ่...มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
จากเรื่อง Spiderman


ให้ผมจากไปพร้อมความรักของคุณที่อยู่ในใจผม
จากเรื่อง Windstruct


We've got the back hawk down!!!
จากเรื่อง Back Hawk Down


ไปตกปลากันมั้ย
จากเรื่อง Broakback Mountain


เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
จากเรื่อง MI3


คบกันนานรึยัง? คบกันลึกซึ้งมั้ย? นั่น..กันรึยัง?
จากเรื่อง เฮี้ยวนักรักซะเลย


ของที่มีค่าที่สุดในชีวิต ไม่สามารถสร้างด้วยมือ หรือหาซื้อมาได้
จากเรื่อง Mourang Rouge


ซ้างข้อยอยู่ไส (ช้างเค้าอยู่ไหนอ๊ะ?)
จากเรื่อง ต้มยำกุ้ง


ตังค์แม่ ตังค์มา เอาตังค์
จากเรื่อง ช็อกโกแลต


คนไทยอ่านหนังสือปีละ ๖ บรรทัด
จากเรื่อง ทวิภพ


ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่ามีคนที่ฉันรัก
จากเรื่อง ข้างหลังภาพ


รักน่ะรักได้ แต่รักแค่ครึ่งใจก็พอ
จากเรื่อง เพลงสุดท้าย

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Pumpkin


Pumpkin is a gourd-like squash of the genus Cucurbita and the family Cucurbitaceae (which also includes gourds). It is a common name of or can refer to cultivars of any one of the species Cucurbita pepo, Cucurbita mixta, Cucurbita maxima, and Cucurbita moschata.

Description

The word pumpkin originates from the word pepon, which is Greek for “large melon". The French adapted this word to pompon, which the British changed to pumpion and later American colonists changed that to the word we use today, “pumpkin". The origin of pumpkins is not definitively known, although they are thought to have originated in North America. The oldest evidence, pumpkin-related seeds dating between 7000 and 5500 B.C., were found in Mexico. Pumpkins are a squash-like fruit that range in size from less than 1 pound (0.45 kilograms) to over 1,000 pounds (453.59 kilograms).

Since some squash share the same botanical classifications as pumpkins, the names are frequently used interchangeably. In general, pumpkins have stems that are more rigid, pricklier, and squarer (with an approximate five-degree angle) than squash stems, which are generally softer, more rounded, and more flared where joined to the fruit.

Pumpkins generally weigh 9–18 lbs (4–8 kg) with the largest (of the species C. maxima) capable of reaching a weight of over 75 lbs (34 kg). The pumpkin varies greatly in shape, ranging from oblate through oblong. The rind is smooth and usually lightly ribbed. Although pumpkins are usually orange or yellow, some fruits are dark green, pale green, orange-yellow, white, red and gray.

Pumpkins are monoecious, having both male and female flowers on the same plant. The female flower is distinguished by the small ovary at the base of the petals. These bright and colorful flowers have extremely short life spans and may only open for as short a time as one day. The color of pumpkins is derived from the orange pigments abundant in them. The main nutrients are lutein, and both alpha and beta carotene, the latter of which generates vitamin A in the body